ราชธรรมนำชีวี:คำพ่อสอน
ราชธรรมนำชีวี:คำพ่อสอน
คำสอนของพ่อหลวง ปวงเด็กไทยใส่ใจจำ
ทั้งฝึกและหัดทำ เกิดผลดีชีวีตน
ซื่อสัตย์ใฝ่ประหยัด หัดพอเพียงไม่อับจน
พากเพียรและอดทน อีกรู้รักสามัคคี
ทั้งเสริมสร้างคนดี เรียงร้อยไมตรีกับทุกคน
หวังดีมีเมตตา มีน้ำใจใครก็ชม
หมั่นสร้างสมความดี วันนี้คุณธรรมดำรง
ชาติไทยจักมั่นคง เพราะราชธรรมนำชีวี
เมธินี น้อยวงศ์
สถาบันภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการได้อัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน ที่ได้พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ โดยจัดร้อยเรียงเป็นหัวข้อคุณธรรม ๙ ประการ และนำมาประพันธ์เป็นบทร้อยกรองประเภทต่างๆ เพื่อเผยแพร่ให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจัง ครูจึงนำคุณธรรม ๙ ประการ ซึ่งแต่งเป็นกาพย์สุราคนางค์๒๘ โดยฐะปะนีย์ นาครทรรพ สอนสอดแทรกในข้อหลักธรรมที่ควรปฏิบัติในหน่วยพระธรรม สาระพระพุทธศาสนา โดยนำภาพวาดประกอบหัวข้อคุณธรรม เพื่อจูงใจให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการคิดเรื่องราวให้เกี่ยวข้องหัวข้อคุณธรรมที่เรียนและปฏิบัติ
“ความเพียรที่จะเป็นกำลังได้ต้องมีลักษณะแข็งกล้า ไม่ย่อหย่อนเสื่อมคลายด้วยอุปสรรค ด้วยความยากลำบากเหน็ดเหนื่อยประการใด ๆ หากแต่อุตส่าห์พยายามกระทำต่อไปไม่ถอยหลัง แม้หยุดมือก็ยังพยายามคิดต่อไปไม่ทอดธุระ กำลังความพากเพียรจึงทำให้การไม่ล่าช้า มีแต่ดำเนินรุดหน้าเป็นลำดับไปจนบรรลุความสำเร็จโดยไม่มีสิ่งใดจะยับยั้งขัดขวางได้”
(พระบรมราโชวาท พระราชทานในพิธีพระราชทาน ปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ณ อาคารสวนอัมพร วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๒ )
อดทนมานะ
เปี่ยมด้วยวิริยะ ตรากตรำทำงาน
เหนื่อยยากเพียงใด ไม่บ่นทนทาน
ผลดลบันดาล สัมฤทธิ์กิจตน
เสริมสร้างคนดี
“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้คนทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้
(พระบรมราโชวาทในงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี ๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๒)
เสริมสร้างคนดี
เป็นเกียรติเป็นศรี งานเด่นเห็นผล
เพิ่มพูนคุณธรรม น้อมนำกมล
นับเป็นมลคล ดลสวัสดิ์พัฒนา
รู้รักสามัคคี
“สามัคคีนี้ ก็คือการเห็นแก่บ้านเมือง และช่วยกันทุกวิถีทาง เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง ด้วยการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต้องส่งเสริมงานของกันและกัน และไม่ทำลายงานของกันและกัน มีเรื่องอะไรให้ได้พูดปรองดองกัน อย่าเรื่องใครเรื่องมัน และงานก็ทำงานอย่างตรงไปตรงมานึกถึงประโยชน์ส่วนรวม”
(พระบรมราโชวาท พระราชทานในพิธีประดับยศตำรวจชั้นนายพล ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๙)
สามัคคีจริงใจ
งานหนักเพิยงใด มั่นใจศรัทธา
เพื่อชาติบ้านเมือง รุ่งเรืองก้าวหน้า
ใช้สติปัญญา ร่วมคิดกิจการ
“สังคมใดก็ตาม ถ้ามีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน สังคมนั้นย่อมเต็มไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ มีความร่มเย็นเป็นสุข น่าอยู่”
(พระราชดำรัส พระราชทานเพื่ออัญเชิญลงพิมพ์ในนิตยสารที่ระลึกครบ ๑๓ ปีของสโมสรไลออนส์แห่งกรุงเทพ ฯ ในพระบรมราชูประถัมภ์วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๓๘)
“ในการพัฒนาประเทศนั้น จำเป็นต้องทำตามระดับขั้นเริ่มด้วยการสร้างพื้นฐาน คือ ความมีกินมีใช้ถึงประชาชนก่อน ด้วยวิธีการประหยัดระมัดระวัง แต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ”
(พระบรมราโชวาท พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันศุกร์ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๗)
เก็บเงินเหลือใช้ ไว้เผื่ออับจน
เช่นยามเจ็บป่วย เงินช่วยชีพชนม์
พบแพทย์จักดล สุขสวัสดิ์วัฒนา
“การที่จะปฏิบัติหน้าที่ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีนั้น นอกจากความรู้ความสามารถแล้วยังต้องเป็นผู้ประกอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และการตั้งตนไว้ในทางที่ชอบที่ควรสมเกียรติด้วย”
(พระบรมราโชวาท พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๙)
เศรษฐกิจพอเพียง
“ขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบสุข และทำงานตั้งจิตอธิษฐาน ปณิธาน จุดมุ่งหมาย ในแง่นี้ในทางนี้ ที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน ไม่ใช่รุ่งเรืองอย่างยอดช่วยกันรักษาส่วนนี้ให้อยู่ดีกินดีพอสมควรขอย้ำ พอควร พออยู่ พอกิน มีความสงบ”
(พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะผู้แทนสมาคมองค์การเกี่ยวกับศาสนา ครู นักเรียน โรงเรียนต่างๆ นักศึกษามหาวิทยาลัย ในโอกาสเฝ้าทูนละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย ในวันพุธที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)
“ความพร้อมเพรียงกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ทุกคนทุกฝ่าย แสดงให้เห็น ทำให้ข้าพเจ้าระลึกถึงคุณธรรมข้อหนึ่งที่อุปถัมภ์ และผูกพันคนไทยให้ร่วมกันเป็นเอกภาพสามารถบำรุงชาติ บ้านเมืองให้มั่นคง เป็นอิสระยั่งยืนมาช้านาน คุณธรรมข้อนั้น คือ ไมตรี ความมีเมตตาหวังดีให้กันและกัน ผู้ที่มีไมตรีกัน จะคิดอะไรก็คิดแต่ในทางสร้างสวรรค์ คิดเป็นประโยชน์เกื้อกูล กัน จะพูดอะไรก็ใช้เหตุผลเจรจากัน คือ ความเข้าใจเข้าอกกัน จะทำอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน…”
(พระราชดำรัส พระราชทานในวโรกาส เสด็จ ฯ ออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒)
เรียงร้อยไมตรี
เพื่อนบ้านแสนดี ประสานต่อเนื่อง
พึ่งพาอาศัย ไม่มีขุ่นเคือง
ชีวิตฟูเฟื่อง ไมตรีมีคุณ
“พระพุทธศาสนา ถึงแม้ปัจจุบันนี้จะมีหลายนิกายแต่ก็ยึดหลักธรรมอันเป็นแก่นแท้อย่างเดียวกัน คือถือว่าธรรมทั้งหลายทั้งสิ้นเกิดแต่เหตุ เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล เมื่อสิ้นเหตุ ผลก็บังเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่อยู่เหนือเหตุและผล นอกจากนั้นยังต่างถือว่าการแผ่เมตตาสงเคราะห์อนุเคราะห์เกื้อหนุนกันเป็นกรณีกิจสำคัญในการจรรโลงความสงบสุขของชาวโลก ดังนั้นถ้าท่านทั้งปวงพร้อมกันปฏิบัติตัวปฏิบัติหน้าที่ ให้ตรงตามหลักธรรมทั้งด้วยความเมตตาเผื่อแผ่แก่คนทุกคน ก็จะเป็นเครื่องชักนำให้คนทั้งหลายมีโอกาสพิจารณาความจริงตามเหตุผลมากยิ่งขึ้น และเกิดความสงบสุขปกแผ่กว้างขวางยิ่งขึ้นไปในโลก…”
(พระราชดำรัส พระราชทานเพื่ออันเชิญไปอ่านในงานวันฉลอง ๒๕ ปี ขององค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ณ สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙)
หวังดีมีเมตตา
ต่อเด็กอนาถา ด้วยใจมีบุญ
เอื้อเฟื้อเลี้ยงไว้ ทั้งให้เงินทุน
โอบเอื้อเจือจุน ให้ได้ศึกษา