น้ำ
น้ำใต้ดิน
น้ำใต้ดินเป็นน้ำที่ค่อย ๆ ซึมลงไปในดินอย่างช้า ๆ ผ่านช่องโหว่ในดินหรือรอยแตกในดินและรูพรุนในดิน น้ำเช่นนี้บางทีก็ลงไปลึกจากผิวดินได้หลายร้อยเมตร น้ำใต้ดินจะลงไปขังอยู่ตามแนวหิน ในที่บางแห่งมีน้ำใต้ดินซึ่งเป็นน้ำบริสุทธิ์ขังอยู่ในชั้นหินจนเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ก็มี ด้านบนของบริเวณที่อิ่มตัวของน้ำเช่นนี้เรียกว่า "ชั้นน้ำใต้ดิน" น้ำใต้ดินมักจะซึมต่ำลงไปแปรรูปเป็นน้ำพุ น้ำใต้ดินอาจทำให้ชั้นหินใต้ดินพังทลายได้เช่นเดียวกับน้ำที่อยู่บนผิวดิน ที่ใดที่ก้อนหินเป็นหินปูน น้ำซึ่งมักจะมีคาร์บอนไดออกไซด์ปนอยู่ด้วยจะค่อย ๆ ละลายเนื้อหิน และจะซึมผ่านรอยแตกของหินทำให้รอยแตกนั้นขยายกว้างยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็กลายเป็นถ้ำขนาดใหญ่
น้ำพุ
น้ำพุ คือน้ำใต้ดินที่ไหลกลับขึ้นมาที่ผิวโลกตามธรรมชาติ อาจไหลขึ้นมาตลอดเวลาช้า ๆขังอยู่ในบ่อ เรียกว่า บ่อน้ำพุ หรือพุ่งขึ้นมาอย่างแรงเป็นน้ำพุสูงขึ้นไปในอากาศก็ ได้น้ำที่ไหลขึ้นมานั้นถ้าเป็นน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์เรียกว่า "พุน้ำเย็น"แต่ถ้ามีอุณหภูมิสูงกว่าเรียกว่า "พุน้ำร้อน"ดังเช่นบ่อน้ำพุร้อนที่อุทยานแจ้ซ้อน จังหวัดลำปาง ซึ่งมีอุณหภูมิสูง ๘๐ องศาเซลเซียส
น้ำบาดาล
น้ำบาดาล คือ น้ำใต้ดินที่อยู่ลึกลงไปในดินมาก ๆ คือลึกระหว่าง ๑๕๐ - ๒๐๐ เมตร ซึ่งขังอยู่ในชั้นของทราย เป็นอ่างที่เก็บน้ำไว้ได้เป็นปริมาณมาก
น้ำพุและน้ำบาดาลเป็นน้ำสะอาด ไม่มีเชื้อโรค เพราะน้ำทั้งสองชนิดนี้ไหลซึมผ่านผิวดินลงไปลึก ดินจะกรองเอาสารที่แขวนลอยอยู่ในน้ำและเชื้อโรคไว้เกือบหมด ส่วนบรรดาสารอินทรีย์บางชนิดที่ละลายอยู่ในน้ำจะถูกแบคทีเรียในดินทำลายไปเกือบหมด แต่น้ำพุและน้ำบาดาลจะมีแร่ธาตุต่าง ๆ ละลายอยู่เป็นปริมาณมาก เพราะไหลผ่านดินลึกลงไปมาก
ประโยชน์ของน้ำพุ น้ำบาดาล
• น้ำพุใช้ในการอุปโภค บริโภค น้ำพุร้อนใช้รักษาโรคปวดเมื่อย รักษาโรคผิวหนัง น้ำพุร้อนบางแห่งใช้ทำอาหาร เช่น ต้มไข่ให้สุก
• บ่อน้ำพุร้อนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ คนจำนวนมากนิยมไปเที่ยวเพื่ออาบน้ำพุร้อน
• น้ำพุเย็นใช้ในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์
• น้ำบาดาลใช้ทำน้ำประปา ในกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดมีการขุดเจาะเอาน้ำบาดาลขึ้นมาทำน้ำประปาโดยต่อท่อไปตามบ้านเรือน หรือใช้ในการเกษตรกรรม
ความแตกต่างระหว่างน้ำบาดาล น้ำผิวดิน
น้ำบาดาล
น้ำบาดาลเกิดจากน้ำผิวดินที่ซึมผ่านชั้นดินต่างๆ ลงไปจนถึงชั้นดินหรือชั้นหินที่ไม่ซึมน้ำ และเกิดการสะสมอยู่ระหว่างช่องว่างของเนื้อดิน โดยเฉพาะชั้นดินที่เป็นกรวด ทรายหิน ปริมาณของน้ำที่ขังอยู่ในชั้นของดินดังกล่าวจะค่อยๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้นในฤดูฝน และลดปริมาณลงในฤดูแล้ง น้ำบาดาลจะมีการถ่ายเทระดับได้เช่นเดียวกับน้ำผิวดิน มนุษย์นำน้ำบาดาลมาใช้ประโยชน์โดยการเจาะบ่อบาดาล โดยทั่วไปแล้วน้ำบาดาลจะมีคุณลักษณะทางกายภาพและคุณลักษณะทางบักเตรีอยู่ในเกณฑ์ดีกล่าวคือ มีความใสสะอาดปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ที่จะก่อให้เกิดโรคของทางเดินอาหาร ทั้งนี้เนื่องจากชั้นขอดินจะเป็นตัวกรองที่สกัดกั้นความขุ่นของเชื้อจุลินทรีย์ ไว้ขณะที่น้ำซึมผ่านชั้นดินลงไป แต่คุณสมบัติทางด้านเคมี เช่น แร่ธาตุและสารละลายต่างๆ จะมีปริมาณที่ไม่แน่นอน เนื่องจากน้ำเป็นตัวทำลายที่ดี ในขณะที่ซึมผ่านชั้นดินลงไปก็จะละลายเอาแร่ธาตุและสารในชั้นดินปะปนลงไปด้วย ดังนั้นน้ำจากบ่อน้ำบาดาลจะพบว่ามีความใสสะอาดปราศจากเชื้อโรค แต่มักมีปริมาณของแร่ธาตุและสารละลายต่างๆเจือปนอยู่ในน้ำแตกต่างกันไป และแหล่งน้ำบาดาลแต่ละแหล่งมักจะมีคุณสมบัติและองค์ประกอบทางเคมีที่คงที่ โดยทั่วๆไปน้ำบาดาลส่วนใหญ่จะมีค่าการนำไฟฟ้า(conductivity) มากกว่า 300 ไมโครซีเมนส์/เซนติเมตร
น้ำผิวดิน
น้ำผิวดิน หมายถึง ส่วนของน้ำฝนที่ตกลงสู่พื้นดินแล้วไหลลงสู่ที่ต่ำตามแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ หนองและบึง น้ำผิวดินนี้จะรวมทั้งน้ำที่ไหลล้นจากใต้ดินเข้ามาสมทบด้วย ดังจะเห็นได้จากลำธารหรือลำห้วยที่มีน้ำไหลอยู่ตลอดปี ไม่ว่าจะมีผนตกหรือไม่ ปริมาณน้ำที่ไหลในลำห้วยหรือลำน้ำในระหว่างฤดูแล้ง เป็นน้ำที่สะสมไว้ไต้ดินและซึมซับมาตลอดเวลาที่ฝนไม่ตก การไหลนองบนพื้นดิน ทำให้น้ำผิวดินได้รับความสกปรกจากสิ่งแวดล้อมในรูปต่างๆ กัน น้ำผิวดินอาจมีความขุ่นและสารอินทรีย์สูง ปริมาณเกลือแร่ในน้ำอาจมีมากหรือน้อยก็ได้ นอกจากนี้น้ำฝนยังชะล้างสารพิษต่างๆ จากบริเวณเกษตรกรรมให้ไหลมาปนเปื้อนในน้ำผิวดิน สารพิษเหล่านี้ได้แก่ โลหะหนัก ไนเทรด ฟอสเฟต ยาฆ่าแมลง เป็นต้น หรือโรงงานอุตสาหกรรม ต่างๆ ซึ่งปล่อยน้ำเสียที่ประกอบด้วยสารพิษหลายชนิดก็จะไหลมาปนเปื้อนอยู่ในน้ำผิวดินได้เช่นกัน โดยทั่วไปน้ำผิวดินจะมีปริมาณเหล็กและแมงกานีสเพียงเล็กน้อย และมีค่าการนำไฟฟ้า ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงของน้ำประปา เพราะว่าน้ำประปาส่วนใหญ่ก็ทำมาจากน้ำดิบซึ่งก็คือน้ำผิวดินนั่นเอง
- « แรก
- ‹ หน้าก่อน
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- ถัดไป ›
- หน้าสุดท้าย »