• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:8419f2a8f7033985c168ba34f7bfd2c2' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">องค์ประกอบศิลป์</span></strong>  </span></span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong>เส้น(line)</strong></span> </span></span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><img border=\"0\" width=\"300\" src=\"/files/u2460/line.gif\" height=\"120\" /></span> </span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"></span></p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        <span style=\"color: #000000\"> เส้น คือ ร่องรอยที่เกิดจากเคลื่อนที่ของจุด  หรือถ้าเรานำจุดมาวางเรียงต่อ ๆ กันไป   ก็จะเกิดเป็นเส้นขึ้น  เส้นมีมิติเดียว  คือ  ความยาว ไม่มีความกว้าง ทำหน้าที่เป็นขอบเขต   ของที่ว่าง รูปร่าง รูปทรง น้ำหนัก  สี   ตลอดจนกลุ่มรูปทรงต่าง ๆ  รวมทั้งเป็นแกนหรือโครงสร้างของรูปร่างรูปทรง</span>           </span>\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        เส้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญของงานศิลปะทุกชนิด เส้นสามารถให้ความหมาย แสดง  ความรู้สึก และอารมณ์ได้ด้วยตัวเอง และด้วยการสร้างเป็นรูปทรงต่าง ๆ ขึ้น  เส้นมี 2  ลักษณะคือ เส้นตรง   (Straight Line) และ เส้นโค้ง   (Curve Line)  เส้นทั้งสองชนิดนี้ <br />\nเมื่อนำมาจัดวางในลักษณะต่าง ๆ กัน จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ และให้ความหมาย ความรู้สึก  ที่แตกต่างกันอีกด้วย     ลักษณะของเส้น<br />\n    </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">         1. เส้นตั้ง หรือ เส้นดิ่ง  ให้ความรู้สึกทางความสูง  สง่า  มั่นคง  แข็งแรง  หนักแน่น เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อตรง <br />\n         2. เส้นนอน ให้ความรู้สึกทางความกว้าง สงบ ราบเรียบ นิ่ง ผ่อนคลาย <br />\n         3. เส้นเฉียง หรือ เส้นทะแยงมุม ให้ความรู้สึก เคลื่อนไหว รวดเร็ว ไม่มั่นคง <br />\n         4. เส้นหยัก หรือ เส้นซิกแซก แบบฟันปลา ให้ความรู้สึก คลื่อนไหว อย่างเป็น   จังหวะ  มีระเบียบ  ไม่ราบเรียบ น่ากลัว อันตราย ขัดแย้ง ความรุนแรง <br />\n         5. เส้นโค้ง แบบคลื่น ให้ความรู้สึก เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ลื่นไหล ต่อเนื่อง สุภาพ  อ่อนโยน นุ่มนวล <br />\n         6. เส้นโค้งแบบก้นหอย ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว คลี่คลาย หรือเติบโตในทิศทางที่   หมุนวนออกมา ถ้ามองเข้าไปจะเห็นพลังความเคลื่อนไหวที่ไม่สิ้นสุด<br />\n         7. เส้นโค้งวงแคบ ให้ความรู้สึกถึงพลังความเคลื่อนไหวที่รุนแรง  การเปลี่ยนทิศทาง   ที่รวดเร็ว ไม่หยุดนิ่ง <br />\n         8. เส้นประ ให้ความรู้สึกที่ไม่ต่อเนื่อง  ขาด  หาย  ไม่ชัดเจน  ทำให้เกิดความเครียด <br />\n    </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        <span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"> ความสำคัญของเส้น</span> </strong></span><br />\n         1. ใช้ในการแบ่งที่ว่างออกเป็นส่วน ๆ <br />\n         2. กำหนดขอบเขตของที่ว่าง หมายถึง  ทำให้เกิดเป็นรูปร่าง (Shape) ขึ้นมา <br />\n         3. กำหนดเส้นรอบนอกของรูปทรง ทำให้มองเห็นรูปทรง (Form) ชัดขึ้น <br />\n         4. ทำหน้าที่เป็นน้ำหนักอ่อนแก่ ของแสดงและเงา หมายถึง การแรเงาด้วยเส้น <br />\n         5. ให้ความรู้สึกด้วยการเป็นแกนหรือโครงสร้างของรูป และโครงสร้างของภาพ </span>\n</p>\n<p><!--pagebreak--><!--pagebreak--></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สี color</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"144\" src=\"/files/u2460/12partwheel-big.gif\" height=\"144\" /> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">      สีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งในการดำรงชีวิต  ซึ่งมนุษย์รู้จัก    สามารถ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์       ในอดีตกาล มนุษย์ได้ค้นพบสีจากแหล่งต่าง ๆ  จากพืช  สัตว์  ดิน และแร่ธาตุนานาชนิด จากการ ค้นพบสีต่าง ๆ เหล่านั้น มนุษย์ได้นำเอาสีต่าง    ๆ     มาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง โดยนำมาระบายลงไปบนสิ่งของ     ภาชนะเครื่องใช้       หรือระบายลงไปบนรูปปั้น รูปแกะสลัก เพื่อให้รูปเด่นชัดขึ้น มีความเหมือนจริงมากขึ้น   รวมไปถึงการใช้สีวาด ลงไปบนผนังถ้ำ  หน้าผา   ก้อนหิน  เพื่อใช้ถ่ายทอดเรื่องราว       และทำให้เกิดความ รู้สึกถึงพลังอำนาจที่มีอยู่เหนือสิ่งต่าง  ๆ   ทั้งปวง              การใช้สีทาตามร่างกายเพื่อ กระตุ้นให้เกิดความฮึกเหิม เกิดพลังอำนาจ   หรือใช้สีเป็นสัญลักษณ์ในการถ่ายทอด <br />\nความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง <br />\n      ในสมัยเริ่มแรก มนุษย์รู้จักใช้สีเพียงไม่กี่สี  สีเหล่านั้นได้มาจากพืช สัตว์ ดิน แร่ธาตุต่าง ๆ รวมถึงขี้เถ้า   เขม่าควันไฟ  เป็นสีที่พบทั่วไปในธรรมชาติ นำมาถู  ทา ต่อมาเมื่อทำการย่างเนื้อสัตว์  ไขมัน  น้ำมัน     ที่หยดจากการย่างลงสู่ดินทำให้ดินมี <br />\nสีสันน่าสนใจ สามารถนำมาระบายลงบนวัตถุและติดแน่นทนนาน  ดังนั้นไขมันนี้ จึงได้ทำหน้าที่เป็นส่วนผสม (binder)   ซึ่งมีความสำคัญในฐานะเป็นสารชนิดหนึ่ง ที่เป็นส่วนประกอบของสี          ทำหน้าที่เกาะติดผิวหน้าของวัสดุที่ถูกนำไปทาหรือ <br />\nระบาย   นอกจากไขมันแล้วยังได้นำไข่ขาว     ขี้ผึ้ง (Wax)    น้ำมันลินสีด (Linseed) กาวและยางไม้  (Gum arabic)   เคซีน (Casein: ตะกอนโปรตีนจากนม)      และสารพลาสติกโพลีเมอร์  (Polymer)     มาใช้เป็นส่วนผสม ทำให้เกิดสีชนิดต่าง ๆ ขึ้นมา <br />\nองค์ประกอบของสี แสดงได้ดังนี้ </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">                                 <span style=\"color: #0000ff\"> </span></span><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\">เนื้อสี (รงควัตถุ)      +     ส่วนผสม    =    สีชนิดต่าง ๆ <br />\n                                         (Pigment)                      (Binder)              Colour </span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\">         </span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        ในสมัยต่อมา เมื่อมนุษย์มีวิวัฒนาการมากขึ้น      เกิดคตินิยมในการรับรู้ และชื่นชมใน ความงามทางสุนทรียศาสตร์  (Aesthetics)   สีได้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง   และวิจิตรพิสดาร จากเดิมที่เคยใช้สีเพียงไม่กี่สี ซึ่งเป็นสีตามธรรมชาติ  ได้นำมาซึ่งการประดิษฐ์ คิดค้น และผลิต สีใหม่ ๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก     ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ความงามอย่างไม่มีขีดจำกัด   โดยมี <br />\nการพัฒนามาเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง ที่มาของสี  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        สีที่มนุษย์ใช้อยู่ทั่วไป ได้มาจาก <br />\n      1  สสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และนำมาใช้โดยตรง หรือด้วยการสกัด  ดัดแปลงบ้าง จากพืช สัตว์  ดิน แร่ธาตุต่าง ๆ <br />\n      2  สสารที่ได้จากการสังเคราะห์ซึ่งผลิตขึ้นโดยกระบวนการทางเคมี เป็นสารเคมีที่ผลิตขึ้นเพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้ สะดวกมากขึ้น ซึ่งเป็นสีที่เราใช้อยู่ทั่วไปในปัจจุบัน <br />\n      3  แสง เป็นพลังงานชนิดเดียวที่ให้สี โดยอยู่ในรูปของรังสี (Ray) ที่มีความเข้มของแสงอยู่ในช่วงที่สายตามองเห็นได้ </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">      สี คือลักษณะของแสงที่ปรากฏแก่สายตาให้เห็นเป็นสี (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน) <br />\nในทางวิทยาศาสตร์ให้คำจำกัดความของสีว่า เป็นคลื่นแสงหรือความเข้มของแสงที่สายตาสามารถมองเห็น <br />\nในทางศิลปะ  สีคือ ทัศนธาตุอย่างหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของงานศิลปะ และใช้ในการสร้างงานศิลปะ<br />\nโดยจะทำให้ผลงานมีความสวยงาม  ช่วยสร้างบรรยากาศ มีความสมจริง เด่นชัดและน่าสนใจมากขึ้น <br />\n         สีเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของงานศิลปะ และเป็นองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึก <br />\n อารมณ์ และจิตใจ ได้มากกว่าองค์ประกอบอื่น ๆ ในชีวิตของมนุษย์มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสีต่าง ๆ <br />\nอย่างแยกไม่ออก โดยที่สีจะให้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น <br />\n       1 ใช้ในการจำแนกสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เห็นชัดเจน <br />\n       2 ใช้ในการจัดองค์ประกอบของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสวยงาม กลมกลืน เช่น การแต่งกาย  การจัดตกแต่งบ้าน <br />\n       3 ใช้ในการจัดกลุ่ม พวก คณะ ด้วยการใช้สีต่าง ๆ เช่น คณะสี  เครื่องแบบต่าง ๆ <br />\n       4 ใช้ในการสื่อความหมาย เป็นสัญลักษณ์ หรือใช้บอกเล่าเรื่องราว <br />\n       5 ใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะ เพื่อให้เกิดความสวยงาม สร้างบรรยากาศ  สมจริงและน่าสนใจ <br />\n       6 เป็นองค์ประกอบในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ของมนุษย์ </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">การใช้สีในยุคสมัยต่าง ๆ</span></strong> </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong>อียิปต์โบราณ</strong></span> </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">      ในสมัยอียิปต์โบราณ   การใช้สีมีความสัมพันธ์กับพิธีกรรม   และเรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนาการระบายสีไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงทางทัศนียวิทยา หรือหลักความเป็นจริง เป็นภาพที่ไม่มีแสงเงา เป็นรูปแบนระบายสีที่สว่างสดใส มองเห็นชัดเจน โดยใช้เทคนิคสีฝุ่นผสมไข่ขาว (egg tempera) หรือใช้ไข่ขาวเคลือบบนผิวที่เขียนด้วยสีฝุ่นผสมน้ำ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">กรีกโบราณ</span></span></strong> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">      ผลงานในสมัยกรีกโบราณ  ที่เห็นชัดเจนจะได้แก่งานประติมากรรมและสถาปัตยกรรม จะพบเห็น งานจิตรกรรมค่อนข้างน้อย ไม่ค่อยปรากฏงานจิตรกรรมฝาผนัง แต่จะพบในงานวาดภาพระบายสี ตกแต่งเครื่องปั้นดินเผา จะนิยมใช้สีเพียง 2 - 3 สี คือ ขาว เหลือง แดง และเคลือบดำ  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">โรมันโบราณ</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">      นิยมสร้างภาพบนผนังและพื้นห้องประดับด้วยโมเสค (Mosaic)  สำหรับการวาดภาพใช้เทคนิค ผสมไข (Encaustic painting) ซึ่งเป็นการใช้สีผสมกับไขระบายในขณะที่ยังร้อน ๆ จากการค้นพบ หลักฐานผลงานในสมัยโรมันหลาย ๆ แห่ง นิยมสร้างเป็นภาพในเมือง   ชนบท ภูเขา ทะเล การต่อสู้  กิจกรรมของพลเมือง การค้าขาย  กีฬา เรื่องเกี่ยวกับนินายปรัมปรา และประวัติศาสตร์ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">คริสเตียนยุคแรก</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">     ในยุคไบเซนไทน์ (Bizentine) ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของคริสเตียนนิยมสร้างภาพโดยใช้โมเสค กระจก( Glass  Mosaic) ทำเป็นภาพบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์ไบเบิล ประดับตกแต่งภายในโบสถ โดยมากมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงถึงความศรัทธาอย่างสูงต่อศาสนาคริสต์ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong>การใช้สีในจิตรกรรมไทย</strong></span> </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">     จิตรกรรมไทย เป็นงานวิจิตรศิลป์ที่มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ  สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรม อันดีงามของชาติ  มีคุณค่าทางศิลปะและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ศาสนา และโบราณคดี จิตรกรรมไทยแบ่งออกได้  2  ประเภท  คือ <br />\n       1 จิตรกรรมไทยแบบประเพณี (Thai Traditional painting) เป็นงานจิตรกรรมที่แสดงความรู้สึกชีวิตจิตใจ และความเป็นไทย ที่มีความละเอียด  อ่อนช้อยงดงาม สร้างสรรค์สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต  และสังเคราะห์จนได้ ลักษณะประจำชาติ ที่มีรูปแบบเป็นพิเศษเฉพาะตัว เป็นงานศิลปะในแบบอุดมคติ  (Idialistic Art)     นิยมเขียน เป็นภาพที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องราวต่าง ๆ คือ <br />\n            1.1   พุทธประวัติ และเรื่องราวอันเกี่ยวเนื่องกับศาสนาพุทธ <br />\n            1.2   พงศาวดาร  ตำนาน เรื่องราวเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์  เรื่องคตินิยมอันเป็นมงคล <br />\n            1.3   วิถีชีวิต  ความเป็นอยู่  ขนบธรรมเนียม ประเพณีต่าง ๆ <br />\n            ลักษณะของผลงานเป็นภาพจิตรกรรม      ระบายสีแบนเรียบด้วยสีที่ค่อนข้างสดใส    แล้วตัดเส้นมีขอบ ที่คมชัด  ให้ความรู้สึกเป็นภาพ  2  มิติ  มีลักษณะในการจัดวางภาพแบบเล่าเรื่องเป็นตอน ๆ  จากบนลงล่าง มีวิธีการใช้สีแตกต่างกันออกไปตามยุคสมัย ทั้งสีเอกรงค์ และพหุรงค์ <br />\n       2 จิตรกรรมไทยร่วมสมัย (Thai  Contemporary painting) เป็นงานจิตรกรรมที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมใหม่แนวความคิดใหม่ ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน      เป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากงานศิลปะตะวันตกที่นำมาผสมผสาน กับรูปลักษณ์แบบไทย ๆ แล้วสร้างสรรค์เป็นรูปแบบใหม่ขึ้น<br />\n       สีที่ช่างนำมาใช้ในงานจิตรกรรมแต่เดิมนั้นมีน้อยมาก  มักใช้สีเดียว ที่เรียกว่า  &quot;เอกรงค์&quot; โดยใช้สีขาว สีดำและสีแดงเท่านั้น  ทำให้เกิดความกลมกลืนกันมาก ต่อมาสีที่ใช้ในภาพจิตรกรรมก็มีมากขึ้น มีการเขียนภาพ ที่เรียกว่า&quot;เบญจรงค์&quot; คือใช้สี  5  สี  ได้แก่ สีเหลือง  เขียวหรือคราม  แดงชาด  ขาว  และดำ การวาดภาพที่ใช้ หลาย ๆ สี เรียกว่า &quot;พหุรงค์&quot;  สีที่ใช้ล้วนได้มาจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่  และมีที่กำเนิดต่าง ๆ กัน  บางสีเป็น ธาตุจากดิน  บางสีได้จากสัตว์ จากกระดูก  เขา งา  เลือด  บางสีได้จากพืช  ลักษณะของสีที่นำมาใช้มักจะทำเป็น ผงละเอียด ซึ่งเรียกว่า   สีฝุ่น ( Tempera) นำมาผสมกับวัสดุอื่นเพื่อให้ยึดเกาะผิวหน้าวัตถุได้ดี  ได้แก่ กาวหรือ ยางไม้  ที่นิยมใช้คือ ยางของต้นมะขวิด  และกาวกระถิน  ลักษณะเด่นของจิตรกรรมไทยอีกอย่างหนึ่งคือ การปิด ทองคำเปลวในบางส่วนของภาพที่มีความสำคัญ เช่น  เป็นเครื่องทรงหรือเป็นผิวกายของของบุคคลสำคัญในเรื่อง  เป็นส่วนประกอบของปราสาทราชวัง  หรือสถาปัตยกรรมที่สำคัญ ๆ ในภาพ  เป็นต้น </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong>ความรู้สึกเกี่ยวกับสีในเชิงจิตวิทยา</strong></span> </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #ff0000\"><strong>สีแดง</strong></span> </span>       ให้ความรู้สึกร้อน  รุนแรง กระตุ้น ท้าทาย  เคลื่อนไหว  ตื่นเต้น เร้าใจ  มีพลัง ความอุดมสมบูรณ์  ความมั่งคั่ง  ความรัก    <br />\n                ความสำคัญ  อันตราย  <br />\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #ff6600\"><strong>สีส้ม</strong></span> </span>         ให้ความรู้สึก ร้อน  ความอบอุ่น ความสดใส  มีชีวิตชีวา  วัยรุ่น  ความคึกคะนอง การปลดปล่อย ความเปรี้ยว  การระวัง  <br />\n<strong><span style=\"color: #ffcc00\"><span style=\"color: #0000ff\">สีเหลือง</span></span></strong>    ให้ความรู้สึกแจ่มใส  ความสดใส  ความร่าเริง  ความเบิกบานสดชื่น ชีวิตใหม่  ความสด  ใหม่  ความสุกสว่าง  การแผ่   <br />\n               กระจาย  อำนาจบารมี  <br />\n<span style=\"color: #008000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีเขียว</span></strong></span>       ให้ความรู้สึก สงบ  เงียบ  ร่มรื่น  ร่มเย็น  การพักผ่อน  การผ่อนคลาย ธรรมชาติ  ความปลอดภัย ปกติ  ความสุข  ความ<br />\n                สุขุม  เยือกเย็น  <br />\n<span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีน้ำเงิน</span></strong></span>      ให้ความรู้สึกสงบ  สุขุม  สุภาพ  หนักแน่น  เคร่งขรึม  เอาการเอางาน ละเอียด  รอบคอบ  สง่างาม  มีศักดิ์ศรี  สูงศักดิ์  <br />\n                เป็นระเบียบถ่อมตน  <br />\n<span style=\"color: #800080\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีม่วง</span></strong></span>        ให้ความรู้สึก มีเสน่ห์  น่าติดตาม  เร้นลับ  ซ่อนเร้น  มีอำนาจ  มีพลังแฝงอยู่ ความรัก  ความเศร้า  ความผิดหวัง  ความ<br />\n                สงบ  ความสูงศักดิ์  <br />\n<strong><span style=\"color: #00ccff\"><span style=\"color: #0000ff\">สีฟ้า</span></span></strong>          ให้ความรู้สึก ปลอดโปร่งโล่ง  กว้าง  เบา  โปร่งใส สะอาด ปลอดภัย  ความสว่าง ลมหายใจ ความเป็นอิสระเสรีภาพ การ<br />\n                ช่วยเหลือ แบ่งปัน  <br />\n<span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีขาว</span></strong></span>         ให้ความรู้สึก บริสุทธิ์  สะอาด สดใส เบาบาง อ่อนโยน  เปิดเผย การเกิด  ความรัก ความหวัง  ความจริง  ความเมตตา <br />\n                ความศรัทธา  ความดีงาม  <br />\n<strong><span style=\"color: #0000ff\">สีดำ</span></strong>          ให้ความรู้สึก มืด สกปรก ลึกลับ  ความสิ้นหวัง  จุดจบ ความตาย ความชั่ว ความลับ ทารุณ โหดร้าย   ความเศร้า หนัก<br />\n                แน่น เข้มเข็ง อดทน มีพลัง  <br />\n<strong><span style=\"color: #ffcc99\"><span style=\"color: #0000ff\">สีชมพู</span></span></strong>      ให้ความรู้สึก อบอุ่น  อ่อนโยน  นุ่มนวล  อ่อนหวาน  ความรัก  เอาใจใส่  วัยรุ่น หนุ่มสาว  ความน่ารัก  ความสดใส  <br />\n<span style=\"color: #808080\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีเทา</span></strong></span>        ให้ความรู้สึก เศร้า  อาลัย  ท้อแท้   ความลึกลับ  ความหดหู่  ความชรา  ความสงบ ความเงียบ  สุภาพ  สุขุม  ถ่อมตน  <br />\n<span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีทอง</span></strong></span>       ให้ความรู้สึก ความหรูหรา  โอ่อ่า  มีราคา  สูงค่า  สิ่งสำคัญ  ความเจริญรุ่งเรือง ความสุข  ความมั่งคั่ง  ความร่ำรวย  การ<br />\n               แผ่กระจาย   </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">การใช้สีในเชิงสัญลักษณ์</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีแดง</span> <br />\n</strong></span>      มีความอบอุ่น ร้อนแรง เปรียบดังดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังแสดงถึง ความมีชีวิตชีวา ความรัก  ความปรารถนา เช่นดอกกุหลาบแดงวัน วาเลนไทน์  ในทางจราจรสีแดงเป็นเครื่องหมายประเภทห้าม แสดง ถึงสิ่งที่อันตราย  เป็นสีที่ต้องระวัง  เป็นสีของเลือด ในสมัยโรมัน สีของราชวงศ์เป็นสีแดง แสดงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์และอำนาจ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีเขียว</span></strong></span>  <br />\n      แสดงถึงธรรมชาติสีเขียว ร่มเย็น มักใช้สื่อความหมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม การเกษตร   การเพาะปลูก การเกิดใหม่ ฤดูใบไม้ผลิ การงอกงาม ในเครื่องหมายจราจร หมายถึงความปลอดภัย  ในขณะเดียวกัน อาจหมายถึงอันตราย ยาพิษ  เนื่องจากยาพิษ  และสัตว์มีพิษ ก็มักจะมีสีเขียวเช่นกัน </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีเหลือง</span></strong></span> <br />\n      แสดงถึงความสดใส  ความเบิกบาน โดยเรามักจะใช้ดอกไม้สีเหลือง  ในการไปเยี่ยมผู้ป่วย และแสดงความรุ่งเรืองความมั่งคั่ง และฐานันดร ศักดิ์ ในทางตะวันออกเป็นสีของกษัตริย์  จักรพรรดิ์ของจีนใช้ฉลอง พระองค์สีเหลือง  ในทางศาสนาแสดงความเจิดจ้า ปัญญา พุทธศาสนา และยังหมายถึงการเจ็บป่วย  โรคระบาด ความริษยา ทรยศ  หลอกลวง </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีน้ำเงิน</span> <br />\n</strong></span>      แสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษ  มีความสุขุม หนักแน่น   และยังหมายถึงความสูงศักดิ์ ในธงชาติไทย สีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ในศาสนา คริตส์เป็นสีประจำตัวแม่พระ โดยทั่วไป สีน้ำเงินหมายถึงโลก  ซึ่งเราจะ เรียกว่า โลกสีน้ำเงิน (Blue Planet)   เนื่องจากเป็นดาวเคราะห์ที่มองเห็น จากอวกาศโดยเห็นเป็นสีน้ำเงินสดใส เนื่องจากมีพื้นน้ำที่กว้างใหญ่ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีม่วง</span> <br />\n</strong></span>      แสดงถึงพลัง  ความมีอำนาจ ในสมัยอียิปต์สีม่วงแดงเป็นสีของกษัติรย์ ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยโรมัน  นอกจากนี้  สีม่วงแดงยังเป็นสีชุดของพระ สังฆราช  สีม่วงเป็นสีที่มีพลังหรือการมีพลังแอบแฝงอยู่ และเป็นสีแห่ง ความผูกพัน องค์การลูกเสือโลกก็ใช้สีม่วง ส่วนสีม่วงอ่อนมักหมายถึง ความเศร้า ความผิดหวังจากความรัก </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">สีฟ้า</span></span></strong> <br />\n      แสดงถึงความสว่าง ความปลอดโปร่ง เปรียบเหมือนท้องฟ้า เป็นอิสระ เสรี เป็นสีขององค์การสหประชาชาติ เป็นสีของความสะอาด ปลอดภัย สีขององค์การอาหารและยา (อย.) แสดงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างสะอาด แสดงถึงอิสรภาพ ที่สามารถโบยบินเป็นสีแห่ง ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ไม่มีขอบเขต </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">สีทอง</span></span></strong> <br />\n      มักใช้แสดงถึง   คุณค่า  ราคา  สิ่งของหายาก  ความสำคัญ  ความสูงส่ง สูงศักดิ์   ความศรัทธาสูงสุด  ในศาสนาพุทธ หรือ    เป็นสีกายของพระ พุทธรูป  ในงานจิตรกรรมเป็นสีกายของพระพุทธเจ้า พระมหากษัติรย์ หรือเป็นส่วนประกอบของเครื่องทรง  เจดีย์ต่าง ๆ มักเป็นสีทอง  หรือ ขาว และเป็นเครื่องประกอบยศศักดิ์ ของกษัตริย์และขุนนาง </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong>สีขาว</strong></span> <br />\n</span>      แสดงถึงความสะอาด  บริสุทธิ์ เหมือเด็กแรกเกิด  แสดงถึงความว่างเปล่า ปราศจากกิเลส ตัณหา เป็นสีอาภรณ์ของผู้ทรงศีล ความเชื่อถือ ความดีงาม ความศรัทธา และหมายถึงการเกิดโดยที่แสงสีขาว เป็นที่กำเนิดของแสงสีต่าง ๆ เป็นความรักและความหวัง ความห่วงใยเอื้ออาทรและเสียสละของ พ่อแม่ ความอ่อนโยน  จริงใจ บางกรณีอาจหมายถึง ความอ่อนแอ ยอมแพ้ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">สีดำ</span> <br />\n</span></strong>      แสดงถึงความมืด ความลึกลับ สิ้นหวัง ความตายเป็นที่สิ้นสุดของทุกสิ่ง โดยที่สีทุกสี เมื่ออยู่ในความมืด  จะเห็นเป็นสีดำ  นอกจากนี้ยังหมายถึง ความชั่วร้าย ในคริสต์ศาสนาหมายถึง ซาตาน อาถรรพ์เวทมนต์ มนต์ดำ ไสยศาสตร์ ความชิงชัง ความโหดร้าย  ทำลายล้าง  ความลุ่มหลงเมามัว แต่ยังหมายถึงความอดทน กล้าหาญ เข้มแข็ง และเสียสละได้ด้วย </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีชมพู</span> <br />\n</strong></span>     แสดงถึงความอบอุ่น อ่อนโยน ความอ่อนหวาน นุ่มนวล  ความน่ารัก แสดงถึงความรักของมนุษย์โดยเฉพาะรุ่นหนุ่มสาว  เป็นสีของความ เอื้ออาทร  ปลอบประโลม  เอาใจใส่ดูแล  ความปรารถนาดี  และอาจ หมายถึงความเป็นมิตร  เป็นสีของวัยรุ่น   โดยเฉพาะผู้หญิง และนิยม ใช้กับสิ่งของเครื่องใช้ของเด็กวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">แสงสี</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">     แสง เป็นพลังงานรังสี ( Radiation Energy )  ที่ตารับรู้และมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยกระบวนการ วิเคราะห์แยกแยะของสมอง  ตาสามารถวิเคราะห์พลังงานแสงโดยการรับรู้วัตถุ สัมพันธ์กับตำแหน่ง ทิศทาง ระยะทาง ความเข้มของแสง และความยาวคลื่นที่มองเห็นได้ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">   <span style=\"color: #0000ff\">  <span style=\"color: #0000ff\"><strong>สี</strong></span></span> คือลักษณะความเข้มของแสงที่ปรากฏแก่สายตาให้เห็นเป็นสี  โดยผ่านกระบวนการรับรู้ด้วยตา มองจะรับข้อมูลจากตา โดยที่ตาได้ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานแสงมาแล้ว ผ่านประสาท สัมผัสการมองเห็น ผ่านศูนย์สับเปลี่ยนในสมองไปสู่ศูนย์การมองเห็นภาพ  การสร้างภาพ หรือการมองเห็นก็คือ การที่ข้อมูลได้ผ่านการวิเคราะห์แยกแยะให้เรารับรู้ถึงสรรพสิ่งรอบตัว การตรวจวัดคลื่นแสงเริ่มขึ้นใน คริสต์ศตวรรษที่ 19  ในปี 1928  ไรท์ ( W.D.Wright ) และ กิลด์ ( J.Guild )  ประสบความสำเร็จในการตรวจวัดคลื่นแสงครั้งสำคัญ และได้รับการรับรองจาก Commission Internationale de l \'Eclairage  หรือ  CIE ในปี 1931 โดยถือว่าเป็นการตรวจวัดมาตรฐาน </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">   สามเหลี่ยมสี  CIE  เป็นภาพแสดง รูปสามเหลี่ยมเกือกม้า นำเสนอไว้ในปี 1931 โดยการวิเคราะห์สีจากแสงสเปคตรัม สัมพันธ์กับความยาวคลื่นแสง แสดงถึงแสงสีขาวท่ามกลางแสงสเปคตรัมรอบรูปเกือกม้าโค้งรูปเกือกม้าแสดงความยาวคลื่นจาก 400- 700  mu สามเหลี่ยมสี CIEสร้างขึ้นตามระบบความสัมพันธ์พิกัด X และ Y คาร์เตเชียน ในทางคณิตศาสตร์จากมุมตรงข้าม  3  มุมของรูปเกือกม้า คือสีน้ำเงินม่วงเข้มประมาณ 400 mu สีเขียวประมาณ  520 mu และสีแดงประมาณ 700 mu คือสีจากแสง ที่จะนำมาผสมกันและก่อให้เกิดสีต่าง ๆ ขึ้น  แสงสีแดงมีความยาวคลื่นสูงสุด แต่มีความถี่คลื่นต่ำสุด จะหักเหได้น้อยที่สุดและแสงสีม่วงจะมีความยาวคลื่นน้อยสุด แต่มีความถี่คลื่นสูงสุด และหักเหได้มากที่สุด </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">     โครงสร้างของสามเหลี่ยมสี CIE นี้ มิได้ขึ้นอยู่กับทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง แต่เกิดจากการทดลองค้นคว้าทาง วิทยาศาสตร์   ระบบการพิมพ์อุตสาหกรรม   การถ่ายภาพ   ภาพยนตร์  โทรทัศน์ ได้ใช้โครงสร้างสีนี้เป็นหลักในระบบการพิมพ์ได้ใช้สีจากด้าน  3  ด้านของรูปเกือกม้าคือ  สีเหลือง  ฟ้า   สีม่วงแดง  และสีดำเป็นหลัก ส่วน ในการถ่ายภาพ  ภาพยนตร์ โทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ ใช้สีจากมุมทั้งสาม คือ แดง  เขียว น้ำเงิน เป็นหลัก </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">     ในราวปี ค.ศ. 1666  เซอร์  ไอแซค  นิวตันได้แสดงให้เห็นว่า สีคือส่วนหนึ่งในธรรมชาติของแสงอาทิตย์ โดยให้ลำแสงส่องผ่านแท่งแก้วปริซึม      แสงจะหักเห      เพราะแท่งแก้วปริซึมความหนาแน่นมากกว่าอากาศเมื่อลำแสงหักเหผ่านปริซึมจะปรากฏแถบสีสเปคตรัม ( Spectrum)  หรือที่เรียกว่า สีรุ้ง (Rainbow) คือ สีม่วง คราม  น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง   เมื่อแสงตกกระทบโมเลกุลของสสาร  พลังงานบางส่วนจะดูดกลืนสีจาก แสงบางส่วน และสะท้อนสีบางสีให้ปรากฏเห็นได้  พื้นผิววัตถุที่เราเห็นเป็นสีแดง  เพราะ  วัตถุดูดกลืนแสงสี อื่นไว้ สะท้อนเฉพาะแสงสีแดงออกมา วัตถุสีขาวจะสะท้อนแสงสีทุกสี  และวัตถุสีดำ จะดูดกลืนทุกสี </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">      จากทฤษฎีการการหักเหของแสงของ ของนิวตัน และจากสามเหลี่ยมสี CIE พบว่า แสงสีเป็นพลังงานเพียง ชนิดเดียวที่ปรากฎสี  จากด้านทั้ง  3  ด้านของรูปสามเหลี่ยมสี CIE  นักวิทยาศาสตร์ได้กำหนดแม่สีของแสงไว้ 3 สี คือ สีแดง ( Red ) สีเขียว (Green)  และสีน้ำเงิน ( Blue )  แสงทั้งสามสี เมื่อนำมาฉายส่องรวมกัน จะทำให้เกิด สีต่าง ๆ ขึ้นมา คือ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">                           </span><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\">แสงสีแดง        +    แสงสีเขียว        =   แสงสีเหลือง  ( Yellow ) <br />\n                           แสงสีแดง        +    แสงสีน้ำเงิน      =   แสงสีแดงมาเจนตา  ( Magenta) <br />\n                           แสงสีน้ำเงิน     +     แสงสีเขียว       =   แสงสีฟ้าไซแอน  ( Cyan ) </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">       และถ้าแสงสีทั้งสามสีฉายรวมกัน  จะได้แสงสีขาว  หรือ ไม่มีสี  เราสามารถสังเกตแม่สีของแสงได้จากโทรทัศน์สี หรือจอคอมพิวเตอร์สี  โดยใช้แว่นขยายส่องดูหน้าจอจะเห็นเป็นแถบสีแสงสว่าง3  สี  คือ แดง เขียว และน้ำเงิน  นอกจากนี้เราจะสังเกตเห็นว่า   เครื่องหมายของสถานีโทรทัศน์สีหลาย ๆ ช่อง   จะใช้แม่สีของแสง ด้วยเช่นกัน  ทฤษฎีของแสงสีนี้ เป็นระบบสีที่เรียกว่า RGB  <br />\n( Red - Green - Blue ) เราสามารถนำไปใช้ในการ ถ่ายทำภาพยนตร์  บันทึกภาพวิดีโอ  การสร้างภาพ  เพื่อแสดงทางคอมพิวเตอร์  การจัดไฟแสงสีในการแสดง การจัดฉากเวที เป็นต้น </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        แสงสีที่เป็นแม่สี คือ สีแดง น้ำเงิน เขียว จะเรียกว่า สีพื้นฐานบวก ( Additive primary colors )คือ เกิดจาก การหักเหของแสงสีขาว  ส่วนสีใหม่ที่เกิดจากการผสมกันของแม่สีของแสงทั้งสามสี จะเรียกว่า สีพื้นฐานลบ (Subtractive primary colors ) คือ  สีฟ้าไซแอน (Cyan)  สีแดงมาเจนต้า(Magenta) และสีเหลือง (Yellow)  ทั้งสามสีเป็นแม่สีแม่ใช้ในระบบการพิมพ์ออฟเซท หรือที่เรียกว่า ระบบสี CMYK โดยที่มีสีดำ (Black) เพิ่มเข้ามา </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        การมองเห็นของสีตรงข้าม    การใช้สีตรงข้ามกันมาใช้ร่วมกันโดยนำมาวางอยู่เคียงคู่กัน ทั้งสองสีจะส่งผลต่อคู่สีอีกสีหนึ่ง  เราจะเห็นว่า สีเขียวที่อยู่บนสีแดงจะดูมีขนาดใหญ่กว่าสีแดง ที่อยู่บนสีเขียว  ทั้งสองสีต่างหักล้างค่าความเข้มของสีซึ่งกันและกัน จะทำให้ไม่ดูสดใสเท่าที่ควร ปรากฎการณ์อีกอย่างหนึ่งของสีตรงข้าม   คือ  ภาพติดตา ( After Image )โดยการจ้องมองสีใด สีหนึ่งที่สดจัด ในที่มีแสงสว่างจ้าสักครู่ จากนั้นไปจ้องมองที่กระดาษสีขาว  จะปรากฎสีตรงข้าม ของสีนั้น ๆ ขึ้นที่กระดาษสีขาวซึ่งเกิดจากอิทธิพลความแรงของสี </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        ภาพติดตาอีกลักษณะหนึ่ง ก็คือสีขาวกับสีดำ  จากภาพเส้นตารางสีขาว  บนพื้นสีดำ จะมอง เห็นจุดตัดแนวตั้งกับแนวนอน ของเส้นตารางสีขาว มีสีเทา ๆ  ลักษณะเช่นนี้เกิดจากอิทธิพลของสี ตรงข้ามที่อยู่ข้างเคียงคือสีดำ  และรูปสีขาวบนพื้นดำ จะดูใหญ่กว่ารูปสีดำที่อยู่พื้นขาว </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">      <span style=\"color: #0000ff\">  <span style=\"color: #0000ff\"><strong>ระบบสี  RGB</strong></span></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">      ระบบสี RGB  เป็นระบบสีของแสง ซึ่งเกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแก้วปริซึม จะเกิดแถบสีที่เรียกว่า สีรุ้ง ( Spectrum ) ซึ่งแยกสีตามที่สายตามองเห็นได้ 7 สี คือ แดง แสด เหลือง  เขียว  น้ำเงิน  คราม  ม่วง       ซึ่งเป็นพลังงานอยู่ในรูปของรังสี ที่มีช่วงคลื่นที่สายตา สามารถมองเห็นได้ แสงสีม่วงมีความถี่คลื่นสูงที่สุด      คลื่นแสงที่มีความถี่สูงกว่าแสงสีม่วง เรียกว่า อุลตราไวโอเลต  ( Ultra Violet ) และคลื่นแสงสีแดง มีความถี่คลื่นต่ำที่สุด คลื่นแสง ที่ต่ำกว่าแสงสีแดงเรียกว่า อินฟราเรด ( InfraRed)   คลื่นแสงที่มีความถี่สูงกว่าสีม่วง และต่ำ กว่าสีแดงนั้น สายตาของมนุษย์ไม่สามารถรับได้  และเมื่อศึกษาดูแล้วแสงสีทั้งหมดเกิดจาก <br />\nแสงสี  3  สี คือ สีแดง ( Red )  สีน้ำเงิน ( Blue)และสีเขียว ( Green )ทั้งสามสีถือเป็นแม่สีของแสง  เมื่อนำมาฉายรวมกันจะทำให้เกิดสีใหม่ อีก  3  สี คือ  สีแดงมาเจนต้า  สีฟ้าไซแอน และสีเหลือง  และถ้าฉายแสงสีทั้งหมดรวมกันจะได้แสงสีขาว  จากคุณสมบัติของแสงนี้เรา ได้นำมาใช้ประโยชน์ทั่วไป  ในการฉายภาพยนตร์    การบันทึกภาพวิดีโอ      ภาพโทรทัศน์ การสร้างภาพเพื่อการนำเสนอทางจอคอมพิวเตอร์ และการจัดแสงสีในการแสดง เป็นต้น</span></p>\n<p>                                                             RED            BLUE          GREEN \n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"> ระบบสี  CMYK</span></strong></span>   </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">     ระบบสี CMYK เป็นระบบสีชนิดที่เป็นวัตถุ คือสีแดง  เหลือง น้ำเงิน แต่ไม่ใช่สีน้ำเงิน ที่เป็นแม่สีวัตถุธาตุ แม่สีในระบบ CMYK เกิดจากการผสมกันของแม่สีของแสง หรือ ระบบสี RGB คือ </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">                   </span><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\">แสงสีน้ำเงิน    +  แสงสีเขียว   =   สีฟ้า  (Cyan) <br />\n                   แสงสีน้ำเงิน    +   แสงสีแดง   =   สีแดง (Magenta) <br />\n                 แสงสีแดง        +   แสงสีเขียว  =   สีเหลือง (Yellow) </span></span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">     สีฟ้า  (Cyan)  สีแดง (Magenta)  สีเหลือง (Yellow) นี้นำมาใช้ในระบบการพิมพ์   และ  มีการเพิ่มเติม สีดำเข้าไป เพื่อให้มีน้ำหนักเข้มขึ้นอีก เมื่อรวมสีดำ ( Black = K ) เข้าไป จึงมีสี่สี โดยทั่วไปจึงเรียกระบบการพิมพ์นี้ว่าระบบการพิมพ์สี่สี ( CMYK ) <br />\n    ระบบการพิมพ์สี่สี ( CMYK )  เป็นการพิมพ์ภาพในระบบที่ทันสมัยที่สุด   และได้ภาพ ใกล้เคียงกับภาพถ่ายมากที่สุด โดยทำการพิมพ์ทีละสีจากสีเหลือง  สีแดง   สีน้ำเงิน  และสีดำ ถ้ลองใช้แว่นขยายส่องดู ผลงานพิมพ์ชนิดนี้ จะพบว่า จะเกิดจากจุดสีเล็ก ๆ สี่สีอยู่เต็มไปหมด การที่เรามองเห็นภาพมีสีต่าง ๆ นอกเหนือจากสี่สีนี้     เกิดจากการผสมของเม็ดสีเหล่านี้ใน ปริมาณต่าง ๆ    คิดเป็น % ของปริมาณเม็ดสี     ซึ่งกำหนดเป็น 10-20-30-40-50-60-70-80-90 จนถึง 100 % </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">                                       CYAN    MAGENTA    YELLOW    BLACK </span>\n</p>\n<p><!--pagebreak--><!--pagebreak--></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">ชนิดของสี</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีน้ำ   WATER COLOUR</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"160\" src=\"/files/u2460/Untitled-18.jpg\" height=\"128\" /> </span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"></span></p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">    สีน้ำ เป็น สีที่ใช้กันมาตั้งแต่โบราณ ทั้งในแถบยุโรป และเอเชีย โดยเฉพาะจีน และญี่ปุ่น ซึ่งมีความสามารถในการระบายสีน้ำ      แต่ในอดีตการระบายสีน้ำมักใช้เพียงสีเดียว    คือ สีดำผู้ที่จะระบายได้อย่างสวยงามจะต้องมีทักษะการใช้พู่กันที่สูงมาก  การระบายสีน้ำจะใช้น้ำ เป็นส่วนผสม และทำละลายให้เจือจาง    ในการใช้สีน้ำ ไม่นิยมใช้สีขาวผสมเพื่อให้มีน้ำหนัก อ่อนลง และไม่นิยมใช้สีดำผสมให้มีน้ำหนักเข้มขึ้น เพราะจะทำให้เกิดน้ำหนักมืดเกินไป แต่จะใช้สีกลางหรือสีตรงข้ามผสมแทน ลักษณะของภาพวาดสีน้ำ  จะมีลักษณะใส  บาง และ สะอาด การระบายสีน้ำต้องใช้ความชำนาญสูงเพราะผิดพลาดแล้วจะแก้ไขยากจะระบายซ้ำ ๆ ทับกันมาก ๆ ไม่ได้จะทำให้ภาพออกมามีสีขุ่น ๆ ไม่น่าดู หรือที่เรียกว่า สีเน่า  สีน้ำที่มีจำหน่าย ในปัจจุบัน จะบรรจุในหลอด เป็นเนื้อสีฝุ่นที่ผสมกับกาวอะราบิค ซึ่งเป็นกาวที่สามารถละลาย น้ำได้ มีทั้งลักษณะที่โปร่งแสง ( Transparent ) และกึ่งทึบแสง ( Semi-Opaque )    ซึ่งจะมีระบุ ไว้ข้างหลอด  สีน้ำนิยมระบายบนกระดาษที่มีผิวขรุขระ หยาบ </span>\n</p>\n<p></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">สีโปสเตอร์   POSTER  COLOUR</span></span></strong>    </span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u2460/jpg_resize.jpg\" height=\"177\" /> </span>\n</div>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">      สีโปสเตอร์  เป็นสีชนิดสีฝุ่น (Tempera) ที่ผสมกาวน้ำบรรจุเสร็จเป็นขวด  การใช้งานเหมือน กับสีน้ำ คือใช้น้ำเป็นตัวผสมให้เจือจาง     สีโปสเตอร์เป็นสีทึบแสง มีเนื้อสีข้น สามารถระบายให้มี เนื้อเรียบได้    และผสมสีขาวให้มีน้ำหนักอ่อนลงได้เหมือนกับสีน้ำมัน  หรือสีอะครีลิค สามารถ ระบายสีทับกันได้  มักใช้ในการวาดภาพ  ภาพประกอบเรื่อง   ในงานออกแบบ ต่าง   ๆ    ได้สะดวก ในขวดสีโปสเตอร์มีส่วนผสมของกลีเซอรีน จะทำให้แห้งเร็ว </span></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีชอล์ค  PASTEL</span></strong></span> </span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"150\" src=\"/files/u2460/oilpastels.jpg\" height=\"116\" /> </span>\n</div>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">            สีชอล์ค  เป็นสีฝุ่นผงละเอียดบริสุทธิ์นำมาอัดเป็นแท่ง ใช้ในการวาดภาพ มากว่า 250 ปีแล้ว ปัจจุบัน มีการผสมขี้ผึ้งหรือกาวยางไม้เข้าไปด้วยแล้วอัดเป็นแท่งในลักษณะของดินสอสี  แต่มีเนื้อ ละเอียดกว่า  แท่งใหญ่กว่า และมีราคาแพงกว่ามาก  มักใช้ในการวาดภาพเหมือน </span></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">สีฝุ่น  TEMPERA</span> </span></strong> </span></span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u2460/picture_5C11255191453.jpg\" height=\"150\" /> </span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"></span></p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">         สีฝุ่น เป็นสีเริ่มแรกของมนุษย์ ได้มาจากธรรมชาติ ดิน หิน แร่ธาตุ พืช  สัตว์ นำมาทำให้ละเอียดเป็นผง ผสมกาวและน้ำ กาวทำมาจากหนังสัตว์ กระดูกสัตว์ สำหรับช่างจิตรกรรมไทยใช้     ยางมะขวิด หรือกาวกระถิน ซึ่งเป็นตัวช่วยให้สีเกาะติดพื้นผิวหน้าวัตถุไม่หลุดได้โดยง่าย  ในยุโรปนิยมเขียนสีฝุ่น โดยผสมกับกาวยาง กาวน้ำ หรือไข่ขาว สีฝุ่นเป็นสีที่มีลักษณะทึบแสง มีเนื้อสีค่อนข้างหนา  เขียนสีทับ กันได้ สีฝุ่นมักใช้ในการเขียนภาพทั่วไป     โดยเฉพาะภาพฝาผนัง  ในสมัยหนึ่งนิยมเขียนภาพผาฝนัง ที่เรียกว่า สีปูนเปียก (Fresco) โดยใช้สีฝุ่นเขียนในขณะที่ปูนที่ฉาบผนังยังไม่แห้งดี  เนื้อสีจะซึมเข้าไป ในเนื้อปูนทำให้ภาพไม่หลุดลอกง่าย สีฝุ่นในปัจจุบัน มีลักษณะเป็นผง เมื่อใช้งานนำมาผสมกับน้ำโดย ไม่ต้องผสมกาว เนื่องจากในกระบวนการผลิตได้ทำการผสมมาแล้ว  การใช้งานหมือนกับสีโปสเตอร์ </span>\n</p>\n<p></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">ดินสอสี  CRAYON</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u2460/crowded_crayon_colors-782365.jpg\" height=\"110\" /> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        ดินสอสี   เป็นสีผงละเอียด ผสมกับขี้ผึ้งหรือไขสัตว์  นำมาอัดให้เป็นแท่งอยู่ในลักษณะของดินสอ  เพื่อให้เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ใช้งาน มีลักษณะคล้ายกับสีชอล์ค แต่เป็นสีที่มีราคาถูก  เนื่องจากมีส่วนผสม อื่น ๆ ปะปนอยู่มาก มีเนื้อสีน้อยกว่า ปัจจุบันมีการพัฒนาให้สามารถละลายน้ำ หรือน้ำมันได้  โดยเมื่อใช้ ดินสอสีระบายสีแล้วนำพู่กันจุ่มน้ำมาระบายต่อ ทำให้มีลักษณะคล้ายกับภาพสีน้ำ ( Aquarelle ) บางชนิด สามารถละลายได้ในน้ำมัน ซึ่งทำให้กันน้ำได้ </span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">สีเทียน   OIL PASTEL</span> </strong></span> </span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"><strong></strong></span></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"221\" src=\"/files/u2460/cray-wax-s.jpg\" height=\"150\" /><br />\n   </span>\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        สีเทียนหรือสีเทียนน้ำมัน เป็นสีฝุ่นผงละเอียด ผสมกับไขมันสัตว์หรือขี้ผึ้ง แล้วนำมาอัดเป็นแท่ง มีลักษณะทึบแสง สามารถเขียนทับกันได้  การใช้สีอ่อนทับสีเข้มจะมองเห็นพื้นสีเดิมอยู่บ้าง  การผสมสี อื่น ๆใช้การเขียนทับกัน สีเทียนน้ำมันมักไม่เกาะติดพื้น สามารถขูดสีออกได้ และกันน้ำ   ถ้าต้องการให้ สีติดแน่นทนนาน จะมีสารพ่นเคลือบผิวหน้าสี  สีเทียนหรือสีเทียนน้ำมัน มักใช้เป็นสีฝึกหัดสำหรับเด็ก เนื่องจากใช้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน และมีราคาถูก </span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">สีอะครีลิค  ACRYLIC  COLOUR</span> </span></strong> </span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u2460/TN_70442.jpg\" height=\"148\" /> </span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"></span></p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">      สีอะครีลิค  เป็นสีที่มีส่วนผสมของสารพลาสติกโพลีเมอร์ ( Polymer) จำพวก อะครีลิค ( Acrylic ) หรือ ไวนิล ( Vinyl ) เป็นสีที่มีการผลิตขึ้นมาใหม่ล่าสุด วลาจะใช้นำมาผสมกับน้ำ  ใช้งานได้เหมือนกับสีน้ำ และสีน้ำมัน มีทั้งแบบโปร่งแสง และทึบแสง แต่จะแห้งเร็วกว่าสีน้ำมัน 1 - 6 ชั่วโมง  เมื่อแห้งแล้วจะมี คุณสมบัติกันน้ำได้และเป็นสีที่ติดแน่นทนนาน  คงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ สามารถเก็บไว้ได้นาน ๆ ยึดเกาะติดผิวหน้าวัตถุได้ดี    เมื่อระบายสีแล้วอาจใช้น้ำยาวานิช  ( Vanish )  เคลือบผิวหน้าเพื่อป้องกัน <br />\nการขูดขีด เพื่อให้คงทนมากยิ่งขึ้น  สีอะครีลิคที่ใช้วาดภาพบรรจุในหลอด  มีราคาค่อนข้างแพง </span>\n</p>\n<p></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">สีน้ำมัน  OIL  COLOUR</span></span></strong> </span>\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u2460/op1.jpg\" height=\"149\" /> </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">       สีน้ำมัน ผลิตจากการผสมของสีฝุ่นกับน้ำมัน ซึ่งเป็นน้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันลินสีด ( Linseed ) ซึ่งกลั่นมาจากต้นแฟลกซ์  หรือน้ำมันจากเมล็ดป๊อบปี้ สีน้ำมันเป็นสีทึบแสง เวลาระบายมักใช้สีขาว ผสมให้ได้น้ำหนักอ่อนแก่  งานวาดภาพสีน้ำมัน มักเขียนลงบนผ้าใบ  (Canvas )  มีความคงทนมากและ กันน้ำ ศิลปินรู้จักใช้สีน้ำมันวาดภาพมาหลายร้อยปีแล้ว  การวาดภาพสีน้ำมัน อาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือ เป็นปีก็ได้ เนื่องจากสีน้ำมันแห้งช้ามาก ทำให้ไม่ต้องรีบร้อน สามารถวาดภาพสีน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ ๆ และสามารถแก้ไขงาน ด้วยการเขียนทับงานเดิม  สีน้ำมันสำหรับเขียนภาพจะบรรจุในหลอด  ซึ่งมีราคา สูงต่ำขึ้นอยู่กับคุณภาพ  การใช้งานจะผสมด้วยน้ำมันลินสีด  ซึ่งจะทำให้เหนียวและเป็นมัน แต่ถ้าใช้ น้ำมันสน จะทำให้แห้งเร็วขึ้นและสีด้าน พู่กันที่ใช้ระบายสีน้ำมันเป็นพู่กันแบนที่มีขนแข็งๆ   สีน้ำมัน เป็นสีที่ศิลปินส่วนใหญ่นิยมใช้วาดภาพ มาตั้งแต่สมัยเรอเนซองส์ยุคปลาย  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">แม่สี  Primary Colour</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">      แม่สี คือ สีที่นำมาผสมกันแล้วทำให้เกิดสีใหม่ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสีเดิม</span></p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"> </span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">แม่สี มือยู่  2 ชนิด คือ<br />\n</span><br />\n</strong></span>    1. แม่สีของแสง เกิดจากการหักเหของแสงผ่านแท่งแก้วปริซึม มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน อยู่ในรูปของแสงรังสี  ซึ่งเป็นพลังงานชนิดเดียวที่มีสี  คุณสมบัติของแสงสามารถนำมาใช้ ในการถ่ายภาพ ภาพโทรทัศน์ การจัดแสงสี ในการแสดงต่าง ๆ เป็นต้น (ดูเรื่อง แสงสี )<br />\n    2. แม่สีวัตถุธาตุ เป็นสีที่ได้มาจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะห์โดยกระบวน ทางเคมี มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน แม่สีวัตถุธาตุเป็นแม่สีที่นำมาใช้ งานกันอย่างกว้างขวาง ในวงการศิลปะ  วงการอุตสาหกรรม ฯลฯ <br />\n    แม่สีวัตถุธาตุ เมื่อนำมาผสมกันตามหลักเกณฑ์ จะทำให้เกิด วงจรสี ซึ่งเป็นวงสี ธรรมชาติ เกิดจากการผสมกันของแม่สีวัตถุธาตุ เป็นสีหลักที่ใช้งานกันทั่วไป ใน วงจรสี จะแสดงสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้<br />\n  </span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">วงจรสี   ( Colour Circle)</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><img border=\"0\" width=\"198\" src=\"/files/u2460/circle11.jpg\" height=\"195\" /></span> </span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span></p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><strong> </strong><span style=\"color: #0000ff\"><strong>  </strong><span style=\"color: #0000ff\">สีขั้นที่ 1</span></span> คือ แม่สี ได้แก่ สีแดง   สีเหลือง  สีน้ำเงิน<br />\n   <br />\n<span style=\"color: #0000ff\"> <span style=\"color: #0000ff\">  สีขั้นที่ 2</span></span> คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 หรือแม่สีผสมกันในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะทำให้  เกิดสีใหม่ 3 สี ได้แก่  </span></p>\n<p>                   สีแดง ผสมกับสีเหลือง  ได้สี ส้ม<br />\n                   สีแดง ผสมกับสีน้ำเงิน  ได้สีม่วง<br />\n                   สีเหลือง ผสมกับสีน้ำเงิน  ได้สีเขียว<br />\n   <br />\n<span style=\"color: #0000ff\">   <span style=\"color: #0000ff\">สีขั้นที่ 3</span></span> คือ สีที่เกิดจากสีขั้นที่ 1 ผสมกับสีขั้นที่ 2 ในอัตราส่วนที่เท่ากัน จะได้สีอื่น ๆ   อีก 6  สี คือ</p>\n<p>                   สีแดง ผสมกับสีส้ม  ได้สี ส้มแดง<br />\n                   สีแดง ผสมกับสีม่วง  ได้สีม่วงแดง<br />\n                   สีเหลือง ผสมกับสีเขียว ได้สีเขียวเหลือง<br />\n                   สีน้ำเงิน ผสมกับสีเขียว  ได้สีเขียวน้ำเงิน<br />\n                   สีน้ำเงิน ผสมกับสีม่วง  ได้สีม่วงน้ำเงิน<br />\n                   สีเหลือง ผสมกับสีส้ม ได้สีส้มเหลือง <br />\n   <br />\n<span style=\"color: #0000ff\">   <span style=\"color: #0000ff\">วรรณะของสี</span></span> คือสีที่ให้ความรู้สึกร้อน-เย็น ในวงจรสีจะมีสีร้อน 7 สี และ สีเย็น 7 สี ซึ่งแบ่งที่ สีม่วงกับสีเหลือง ซึ่งเป็นได้ทั้งสองวรรณะ<br />\n   <br />\n   <span style=\"color: #0000ff\">สีตรงข้าม</span> หรือสีตัดกัน หรือสีคู่ปฏิปักษ์ เป็นสีที่มีค่าความเข้มของสี ตัดกันอย่าง  รุนแรง ในทางปฏิบัติไม่นิยมนำมาใช้ร่วมกัน เพราะจะทำให้แต่ละสีไม่สดใส  เท่าที่ควร  การนำสีตรงข้ามกันมาใช้ร่วมกัน อาจกระทำได้ดังนี้</p>\n<p>     1. มีพื้นที่ของสีหนึ่งมาก อีกสีหนึ่งน้อย<br />\n     2. ผสมสีอื่นๆ ลงไปสีสีใดสีหนึ่ง หรือทั้งสองสี<br />\n     3. ผสมสีตรงข้ามลงไปในสีทั้งสองสี<br />\n   <br />\n<span style=\"color: #0000ff\">  <span style=\"color: #0000ff\">สีกลาง</span></span> คือ สีที่เข้าได้กับสีทุกสี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คือ สีน้ำตาล กับ สีเทา <span style=\"color: #0000ff\"> <span style=\"color: #000000\">สีน้ำตาล</span></span> เกิดจากสีตรงข้ามกันในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนที่เท่ากัน สีน้ำตาลมี  คุณสมบัติสำคัญ คือ ใช้ผสมกับสีอื่นแล้วจะทำให้สีนั้น ๆ เข้มขึ้นโดยไม่เปลี่ยน  แปลงค่าสี ถ้าผสมมาก ๆ เข้าก็จะกลายเป็นสีน้ำตาล    สีเทา เกิดจากสีทุกสี ๆ สีในวงจรสีผสมกัน ในอัตราส่วนเท่ากัน สีเทา มีคุณสมบัติ  ที่สำคัญ คือ ใช้ผสมกับสีอื่น ๆ แล้วจะทำให้ มืด หม่น ใช้ในส่วนที่เป็นเงา ซึ่งมีน้ำหนัก อ่อนแก่ในระดับต่าง ๆ ถ้าผสมมาก ๆ เข้าจะกลายเป็นสีเทา \n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">คุณลักษณะของสี</span></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">    คุณลักษณะของสี เป็นการใช้สีในลักษณะต่าง ๆ เพื่อเกิดความสวยงาม และความรู้สึกต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้สร้าง คุณลักษณะของสีที่ใช้ โดยทั่วไป มีดังนี้ คือ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">    <span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">สีเอกรงค์  (Monochrome)</span></span> เป็นการใช้สีเพียงสีเดียว แต่มีหลาย ๆ  น้ำหนัก ซึ่งไล่เรียงจากน้ำหนักอ่อนไปแก่ เป็นการใช้สีแบบดั้งเดิม ภาพ จิตรกรรมไทย แบบดั้งเดิมจะเป็นลักษณะนี้ ต่อมาเมื่อมีการใช้สีอื่น ๆ  เข้ามาประกอบมากขึ้น ทำให้มีหลายสี ซึ่งเรียกว่า &quot;พหุรงค์&quot; ภาพแบบสี เอกรงค์ มักดูเรียบ ๆ ไม่ค่อยน่าสนใจ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\">   <span style=\"color: #0000ff\">วรรณะของสี  (Tone)</span></span> สีมีอยู่ 2 วรรณะ คือ วรรณะสีร้อน และ สีเย็น  สีร้อนคือสีที่ดูแล้วให้ความรู้สึกร้อน สีเย็นคือสีที่ดูแล้วรู้สึกเย็น ซึ่งอยู่ใน วงจรสี สีม่วงกับสีเหลืองเป็นได้ทั้งสีร้อนและสีเย็น แล้วแต่ว่าจะอยู่กับกลุ่ม สีใด การใช้สีในวรรณะเดียวกันจะทำให้เกิดรู้สึกกลมกลืนกัน การใช้สี ต่างวรรณะจะทำให้เกิดความแตกต่าง ขัดแย้ง การเลือกใช้สีในวรรณะ ใด ๆ ขึ้นอยู่กับความต้องการ และจุดมุ่งหมายของงาน </span></p>\n<p>   <span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">ค่าน้ำหนักของสี  (Value of colour)</span></strong></span> เป็นการใช้สีโดยให้มีค่าน้ำหนัก ในระดับต่าง ๆ กัน และมีสีหลาย ๆ สี ซึ่งถ้าเป็นสีเดียว ก็จะมีลักษณะเป็น สีเอกรงค์ การใช้ค่าน้ำหนักของสี จะทำให้เกิดความกลมกลืน เกิดระยะ ใกล้ไกล ตื้นลึก ถ้ามีค่าน้ำหนักหลาย ๆ ระดับ สีก็จะกลมกลืนกันมากขึ้น  แต่ถ้ามีเพียง1 - 2 ระดับที่ห่างกัน จะทำให้เกิดความแตกต่าง \n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">   <br />\n    <span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">ความเข้มของสี  (Intensity)</span> </strong></span>เกิดจาก สีแท้ คือสีที่เกิดจากการผสมกัน  ในวงจรสี เป็นสีหลักที่ผสมขึ้นตามกกฎเกณฑ์และไม่ถูกผสมด้วยสีกลาง หรือสีอื่น ๆ จะมีค่าความเข้มสูงสุด หรือแรงจัดที่สุด เป็นค่าความแท้ของสี ที่ไม่ถูกเจือปน เมื่อสีเหล่านี้ อยู่ท่ามกลางสีอื่น ๆ ที่ถูกผสมให้เข้มขึ้น หรือ อ่อนลง ให้มืด หม่น หรือเปลี่ยนค่าไปแล้ว สีแท้จะแสดงความแรงของสี ปรากฎออกมาให้เห็น อย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้เกิดจุดสนใจขึ้นในผลงาน ลักษณะเช่นนี้ เหมือนกับ ดอกเฟื่องฟ้าสีชมพูสด ๆ หรือบานเย็น ที่อยู่ท่ามกลางใบเฟื่องฟ้าที่เขียวจัด ๆ หรือ พลุที่ถูกจุดส่องสว่างในยามเทศกาล ตัด กับสีมืด ๆ ทึบ ๆ ทึมๆ ของท้องผ้ายามค่ำคืน เป็นต้น </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">  <span style=\"color: #0000ff\"> <span style=\"color: #0000ff\"><strong>สีส่วนรวม (Tonality)</strong></span></span> เป็นลักษณะที่มีสีใดสีหนึ่ง หรือกลุ่มสีชุดหนึ่งที่ใกล้ เคียงกัน มีอิทธิพลครอบคลุม สีอื่น ๆ ที่อยู่ในภาพ เช่น ในทุ่งดอกทานตะวัน ที่กำลังออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง สีส่วนรวมก็คือ สีของดอกทานตะวัน หรือ บรรยากาศการแข่งขันฟุตบอลในสนาม ถึงแม้ผู้เล่นทั้งสองทีมจะแต่งกาย ด้วยเสื้อผ้า หลากสีต่างกันก็ตาม แต่ สีเขียวของสนามก็จะมีอิทธิพลครอบ คลุม สีต่าง ๆ ทั้งหมด สีใดก็ตามที่มีลักษณะเช่นนี้  เป็นสีส่วนรวมของภาพ </span>\n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></strong></span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #000000\"> <span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\">พื้นผิว  Texture</span></span> </span></strong></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span></p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #000000\"><img border=\"0\" width=\"300\" src=\"/files/u2460/stone_texture_for_tutorial.jpg\" height=\"200\" /> </span>\n</div>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span></p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">       </span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">พื้นผิว หมายถึง ลักษณะของบริเวณผิวหน้าของสิ่งต่าง ๆ ที่เมื่อสัมผัสแล้วสามารถ   รับรู้ได้ ว่ามีลักษณะอย่างไร คือรู้ว่า หยาบ ขรุขระ เรียบ มัน ด้าน เนียน สาก  เป็นต้น   ลักษณะที่สัมผัสได้ของพื้นผิว มี  2  ประเภท คือ <br />\n   <br />\n       1. พื้นผิวที่สัมผัสได้ด้วยมือ หรือกายสัมผัส เป็นลักษณะพื้นผิวที่เป็นอยู่จริง ๆ ของ   ผิวหน้าของวัสดุนั้น ๆ   ซึ่งสามารถสัมผัสได้จากงานประติมากรรม งานสถาปัตกรรม   และสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ <br />\n        2. พื้นผิวที่สัมผัสได้ด้วยสายตา จากการมองเห็นแต่ไม่ใช่ลักษณะที่แท้จริงของผิว  วัสดุนั้น ๆ เช่น การวาดภาพก้อนหินบนกระดาษ   จะให้ความรู้สึกเป็นก้อนหินแต่   มือสัมผัสเป็นกระดาษ  หรือใช้กระดาษพิมพ์ลายไม้ หรือลายหินอ่อน  เพื่อปะ  ทับ <br />\nบนผิวหน้าของสิ่งต่าง ๆ เป็นต้น ลักษณะเช่นนี้ถือว่า    เป็นการสร้างพื้นผิวลวงตา   ให้สัมผัสได้ด้วยการมองเห็นเท่านั้น    <br />\n     พื้นผิวลักษณะต่าง ๆ จะให้ความรู้สึกต่องานศิลปะที่แตกต่างกัน พื้นผิวหยาบจะ   ให้ความรู้สึกกระตุ้นประสาท หนักแน่น มั่นคง แข็งแรง ถาวร    ในขณะที่ผิวเรียบ   จะให้ความรู้สึกเบา สบาย การใช้ลักษณะของพื้นผิวที่แตกต่างกัน  เห็นได้ชัดเจน   จากงานประติมากรรม และมากที่สุดในงานสถาปัตยกรรมซึ่งมีการรวมเอาลักษณะ   ต่าง ๆ กันของพื้นผิววัสดุหลาย ๆ อย่าง   เช่น อิฐ  ไม้ โลหะ  กระจก  คอนกรีต หิน   ซึ่งมีความขัดแย้งกันแต่สถาปนิกได้นำมาผสมกลมกลืนได้อย่างเหมาะสม ลงตัวจน   เกิดความสวยงาม</span>  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"></span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"> <span style=\"color: #0000ff\"> รูปร่างและรูปทรง Shape &amp; Form</span></span> </span></strong>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong><img border=\"0\" width=\"200\" src=\"/files/u2460/IMG_0999.jpg\" height=\"133\" /></strong> </span>\n</p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #000000\">   </span></strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">  รูปร่าง (Shape) คือ รูปแบน ๆ มี 2 มิติ มีความกว้างกับความยาว    ไม่มีความหนาเกิดจากเส้นรอบนอกที่แสดงพื้นที่ขอบเขต<br />\nของรูปต่าง ๆ เช่น รูปวงกลม  รูปสามเหลี่ยม หรือ รูปอิสระ     ที่แสดงเนื้อที่ของผิวที่เป็นระนาบมากกว่าแสดงปริมาตรหรือมวล <br />\n     รูปทรง (Form) คือ รูปที่ลักษณะเป็น 3 มิติ โดยนอกจากจะแสดง    ความกว้าง   ความยาวแล้ว ยังมีความลึก หรือความหนา นูน ด้วย    เช่น รูปทรงกลม  ทรงสามเหลี่ยม ทรงกระบอก เป็นต้น    ให้ความรู้สึกมีปริมาตร  ความหนาแน่น มีมวลสาร ที่เกิดจากการใช้<br />\n   ค่าน้ำหนัก หรือการจัดองค์ประกอบของรูปทรง หลายรูปรวมกัน </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">   รูปร่างและรูปทรง เป็นรูปธรรมของงานศิลปะ    ที่ใช้สื่อเรื่องราวจากงานศิลปะไปสู่ผู้ชม รูปร่างและรูปทรงที่มีอยู่ในงานศิลปะมี  3  ลักษณะ คือ       </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">   รูปเรขาคณิต (Geometric Form) มีรูปที่แน่นอน มาตรฐาน สามารถวัดหรือ   คำนวณได้ง่าย มีกฎเกณฑ์ เกิดจากการสร้างของมนุษย์ เช่น รูปสี่เหลี่ยม<br />\n   รูปวงกลม รูปวงรี นอกจากนี้ยังรวมถึงรูปทรงของสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดค้น  ขึ้นอย่างมีแบบแผน  แน่นอน  เช่น รถยนต์   เครื่องจักรกล   เครื่องบิน    สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ    ที่ผลิตโดยระบบอุตสาหกรรม ก็จัดเป็นรูปเรขาคณิต   เช่นกัน รูปเรขาคณิตเป็นรูป  ที่ให้โครงสร้างพื้นฐานของรูปต่าง ๆ ดังนั้น   การสร้างสรรค์รูปอื่น ๆ   ควรศึกษารูปเรขาคณิตให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน  <br />\n  รูปอินทรีย์ (Organic Form) เป็นรูปของสิ่งที่มีชีวิต หรือ คล้ายกับสิ่งมีชีวิต    ที่สามารถ  เจริญเติบโต  เคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนแปลงรูปได้  เช่น   รูปของคน  สัตว์  พืช   <br />\n  รูปอิสระ (Free Form) เป็นรูปที่ไม่ใช่แบบเรขาคณิต หรือแบบอินทรีย์     แต่เกิดขึ้นอย่างอิสระ ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน ซึ่งเป็นไปตามอิทธิพล   และการกระทำจากสิ่งแวดล้อม  เช่น รูปก้อนเมฆ  ก้อนหิน  หยดน้ำ ควัน   ซึ่งให้ความรู้สึกที่เคลื่อนไหว มีพลัง รูปอิสระจะมีลักษณะ ขัดแย้งกับ   รูปเรขาคณิต แต่กลมกลืน กับรูปอินทรีย์  รูปอิสระอาจเกิดจากรูปเรขาคณิต   หรือรูปอินทรีย์ ที่ถูกกระทำ   จนมีรูปลักษณะเปลี่ยนไปจากเดิมจน   ไม่เหลือสภาพ เช่น รถยนต์ที่ถูกชนจนยับเยินทั้งคัน  เครื่องบินตก    ตอไม้ที่ถูกเผาทำลาย หรือซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยผุพัง  <br />\n  <br />\n</span><br />\n<strong>      </strong></span><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #000000\"> </span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\">ความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรง <br />\n</span><br />\n</span></strong></span><span style=\"color: #000000\">    <span style=\"color: #000000\">เมื่อนำรูปทรงหลาย ๆ รูปมาวางใกล้กัน  รูปเหล่านั้นจะมีความสัมพันธ์ดึงดูด  หรือผลักไส   ซึ่งกันและกัน  การประกอบกันของรูปทรง อาจทำได้โดย ใช้รูปทรงที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน   รูปทรงที่ต่อเนื่องกัน รูปทรงที่ซ้อนกัน รูปทรงที่ผนึกเข้าด้วยกัน รูปทรงที่แทรกเข้าหากัน   รูปทรงที่สานเข้าด้วยกัน หรือ รูปทรงที่บิดพันกัน      การนำรูปเรขาคณิต รูปอินทรีย์ และรูป   อิสระมาประกอบเข้าด้วยกัน จะได้รูปลักษณะใหม่ ๆ อย่างไม่สิ้นสุด </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></strong></span>\n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"> การจัดองค์ประกอบทางศิลปะ</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">    การจัดองค์ประกอบทางศิลปะ  เป็น หลักสำคัญสำหรับผู้สร้างสรรค์ และผู้ศึกษางานศิลปะ   เนื่องจากผลงานศิลปะใด ๆ ก็ตาม ล้วนมีคุณค่าอยู่  2  ประการ คือ คุณค่าทางด้านรูปทรง และ คุณค่าทางด้านเรื่องราว<br />\n   คุณค่าทางด้านรูปทรง เกิดจากการนำเอา องค์ประกอบต่าง ๆ    ของ ศิลปะ อันได้แก่  เส้น  สี  แสงและเงา  รูปร่าง  รูปทรง  พื้นผิว  ฯลฯ   มาจัดเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดความงาม  ซึ่งแนวทางในการนำองค์ประกอบต่าง ๆ มาจัดรวมกันนั้นเรียกว่า การจัดองค์ ประกอบศิลป์ (Art Composition) โดยมีหลักการจัดตามที่จะกล่าวต่อไป อีกคุณค่าหนึ่งของงานศิลปะ คือ คุณค่าทางด้านเนื้อหา เป็นเรื่องราว หรือสาระของผลงานที่ศิลปินผู้สร้าง สรรค์ต้องการที่จะแสดงออกมา ให้ผู้ชมได้สัมผัส รับรู้  โดยอาศัยรูปลักษณะที่เกิดจากการจัดองค์ประกอบศิลป์นั่นเองหรืออาจกล่าวได้ว่า ศิลปิน นำเสนอเนื้อหาเรื่องราวผ่านรูปลักษณะที่เกิดจากการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ<br />\n   ถ้าองค์ประกอบที่จัดขึ้น ไม่สัมพันธ์กับเนื้อหาเรื่องราวที่นำเสนอ งานศิลปะนั้นก็จะขาดคุณค่าทางความงามไป  ดังนั้นการจัดองค์ประกอบศิลป์   จึงมีความสำคัญในการสร้างสรรค์งานศิลปะเป็นอย่างยิ่งเพราะจะทำให้งานศิลปะทรงคุณค่าทางความงามอย่างสมบูรณ์ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\">การจัดองค์ประกอบของศิลปะ มีหลักที่ควรคำนึง   อยู่ 5 ประการ คือ</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><strong><br />\n</strong></span><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"> </span></span><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\">1.  สัดส่วน (Proportion)</span><br />\n</span></strong></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">     สัดส่วน หมายถึง  ความสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสมระหว่างขนาดของ  องค์ประกอบที่แตกต่างกัน ทั้งขนาดที่อยู่ในรูปทรงเดียวกันหรือระหว่างรูปทรง และรวมถึง  ความสัมพันธ์กลมกลืนระหว่างองค์ประกอบทั้งหลายด้วย     ซึ่งเป็นความพอเหมาะพอดี ไม่ <br />\n มากไม่น้อย ขององค์ประกอบทั้งหลายที่นำมาจัดรวมกัน ความเหมาะสมของสัดส่วนอาจ  พิจารณาจากคุณลักษณะดังต่อไปนี้  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">    1.1  สัดส่วนที่เป็นมาตรฐาน จากรูปลักษณะตามธรรมชาต ของ คน สัตว์  พืช ซึ่งโดยทั่วไป  ถือว่า สัดส่วนตามธรรมชาติ  จะมีความงามที่เหมาะสมที่สุด      หรือจากรูปลักษณะที่เป็นการ  สร้างสรรค์ของมนุษย์ เช่น Gold section เป็นกฎในการสร้างสรรค์รูปทรงของกรีก ซึ่งถือว่า  &quot;ส่วนเล็กสัมพันธ์กับส่วนที่ใหญ่กว่า  ส่วนที่ใหญ่กว่าสัมพันธ์กับส่วนรวม&quot;  ทำให้สิ่งต่าง ๆ  ที่สร้างขึ้นมีสัดส่วนที่สัมพันธ์กับทุกสิ่งอย่างลงตัว </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">    1.2  สัดส่วนจากความรู้สึก    โดยที่ศิลปะนั้นไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อความงามของรูปทรงเพียง  อย่างเดียว แต่ยังสร้างขึ้นเพื่อแสดงออกถึง  เนื้อหา เรื่องราว ความรู้สึกด้วย  สัดส่วนจะช่วย  เน้นอารมณ์ ความรู้สึก ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ และเรื่องราวที่ศิลปินต้องการ ลักษณะเช่น  นี้ ทำให้งานศิลปะของชนชาติต่าง ๆ มีลักษณะแตกต่างกัน เนื่องจากมีเรื่องราว อารมณ์ และ  ความรู้สึกที่ต้องการแสดงออกต่าง ๆ กันไป เช่น   กรีก    นิยมในความงามตามธรรมชาติเป็น  อุดมคติ เน้นความงามที่เกิดจากการประสานกลมกลืนของรูปทรง    จึงแสดงถึงความเหมือน  จริงตามธรรมชาติ ส่วนศิลปะแอฟริกันดั้งเดิม เน้นที่ความรู้สึกทางวิญญานที่น่ากลัว ดังนั้น <br />\n รูปลักษณะจึงมีสัดส่วนที่ผิดแผกแตกต่างไปจากธรรมชาติทั่วไป </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #0000ff\"> 2. ความสมดุล (Balance)</span></span></strong> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">     ความสมดุล หรือ ดุลยภาพ หมายถึง น้ำหนักที่เท่ากันขององค์ประกอบ  ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง  ในทางศิลปะยังรวมถึงความประสานกลมกลืน ความพอเหมาะพอดีของ ส่วนต่าง ๆ ในรูปทรงหนึ่ง หรืองานศิลปะชิ้นหนึ่ง การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ   ลงใน งานศิลปกรรมนั้นจะต้องคำนึงถึงจุดศูนย์ถ่วง ในธรรมชาตินั้น   ทุกสิ่งสิ่งที่ทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ล้มเพราะมีน้ำหนักเฉลี่ยเท่ากันทุกด้าน<br />\n    ฉะนั้น  ในงานศิลปะถ้ามองดูแล้วรู้สึกว่าบางส่วนหนักไป แน่นไป  หรือ เบา  บางไปก็จะทำให้ภาพนั้นดูเอนเอียง   และเกิดความ รู้สึกไม่สมดุล เป็นการบกพร่องทางความงาม  ดุลยภาพในงานศิลปะ มี  2 ลักษณะ คือ </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">  1. ดุลยภาพแบบสมมาตร (Symmetry Balance) หรือ ความสมดุลแบบซ้ายขวาเหมือนกัน   คือ การวางรูปทั้งสองข้างของแกนสมดุล    เป็นการสมดุลแบบธรรมชาติลักษณะแบบนี้ใน   ทางศิลปะมีใช้น้อย ส่วนมากจะใช้ในลวดลายตกแต่ง ในงานสถาปัตยกรรมบางแบบ หรือ   ในงานที่ต้องการดุลยภาพที่นิ่งและมั่นคงจริง ๆ </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">  2. ดุลยภาพแบบอสมมาตร (Asymmetry Balance) หรือ ความสมดุลแบบซ้ายขวาไม่เหมือน   กัน มักเป็นการสมดุลที่เกิดจาการจัดใหม่ของมนุษย์   ซึ่งมีลักษณะที่ทางซ้ายและขวาจะไม่   เหมือนกัน ใช้องค์ประกอบที่ไม่เหมือนกัน  แต่มีความสมดุลกัน   อาจเป็นความสมดุลด้วย   น้ำหนักขององค์ประกอบ หรือสมดุลด้วยความรู้สึกก็ได้  การจัดองค์ประกอบให้เกิดความ   สมดุลแบบอสมมาตรอาจทำได้โดย    เลื่อนแกนสมดุลไปทางด้านที่มีน้ำหนักมากว่า   หรือ   เลื่อนรูปที่มีน้ำหนักมากว่าเข้าหาแกน  จะทำให้เกิดความสมดุลขึ้น หรือใช้หน่วยที่มีขนาด  เล็กแต่มีรูปลักษณะที่น่าสนใจถ่วงดุลกับรูปลักษณะที่มีขนาดใหญ่แต่มีรูปแบบธรรมดา </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"> 3. จังหวะลีลา (Rhythm)</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">    จังหวะลีลา  หมายถึง  การเคลื่อนไหวที่เกิดจาการซ้ำกันขององค์ประกอบ เป็นการซ้ำที่เป็นระเบียบ จากระเบียบธรรมดาที่มีช่วงห่างเท่าๆ กัน มาเป็นระเบียบที่สูงขึ้น ซับซ้อนขึ้นจนถึงขั้นเกิดเป็นรูปลักษณะของศิลปะ  โดยเกิดจาก การซ้ำของหน่วย หรือการสลับกันของหน่วยกับช่องไฟ  หรือเกิดจาก การเลื่อนไหลต่อเนื่องกันของเส้น สี รูปทรง หรือ น้ำหนัก </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        รูปแบบๆ หนึ่ง อาจเรียกว่าแม่ลาย  การนำแม่ลายมาจัดวางซ้ำ ๆ   กันทำให้เกิดจังหวะ   และถ้าจัดจังหวะให้แตกต่างกันออกไป ด้วยการเว้นช่วง หรือสลับช่วง ก็จะเกิดลวดลาย   ที่แตกต่างกันออกไป ได้อย่างมากมาย  แต่จังหวะของลายเป็นจังหวะอย่างง่าย ๆ ให้ความ   รู้สึกเพียงผิวเผิน และเบื่อง่าย เนื่องจากขาดความหมาย เป็นการรวมตัวของสิ่งที่เหมือนกัน   แต่ไม่มีความหมายในตัวเอง จังหวะที่น่าสนใจและมีชีวิต ได้แก่ การเคลื่อนไหวของ คน   สัตว์  การเติบโตของพืช  การเต้นรำ เป็นการเคลื่อนไหวของโครงสร้างที่ให้ความบันดาล   ใจในการสร้างรูปทรงที่มีความหมาย </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #000000\">   <br />\n        เนื่องจากจังหวะของลายนั้น ซ้ำตัวเองอยู่ตลอดไปไม่มีวันจบ และมีแบบรูปของการซ้ำ ที่ตายตัว  แต่งานศิลปะแต่ละชิ้นจะต้องจบลงอย่างสมบูรณ์ และมีความหมายในตัว งาน ศิลปะทุกชิ้นมีกฎเกณฑ์และระเบียบที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน   ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน งานชิ้นใดที่แสดงระเบียบกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกินไป งานชิ้นนั้นก็จะจำกัดตัวเอง ไม่ต่าง อะไรกับลวดลายที่มองเห็นได้ง่าย ไม่มีความหมาย ให้ผลเพียงความเพลิดเพลินสบายตาแก่ผู้ชม  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong><span style=\"color: #0000ff\"> 4. การเน้น (Emphasis)</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"> การเน้น หมายถึง  การกระทำให้เด่นเป็นพิเศษกว่าธรรมดา ในงานศิลปะจะต้องมี ส่วนใดส่วนหนึ่ง  หรือจุดใดจุดหนึ่ง ที่มีความสำคัญกว่าส่วนอื่น ๆ   เป็นประธานอยู่ ถ้าส่วนนั้นๆ อยู่ปะปนกับส่วนอื่น ๆ  และมีลักษณะเหมือน ๆ กัน  ก็อาจถูกกลืน หรือ ถูกส่วนอื่นๆ<br />\nที่มีความสำคัญน้อยกว่าบดบัง หรือแย่งความสำคัญ ความน่าสนใจไปเสียงานที่ไม่มีจุดสนใจ หรือประธาน  จะทำให้ดูน่าเบื่อ เหมือนกับลวดลายที่ถูกจัดวางซ้ำกันโดยปราศจากความหมาย หรือเรื่องราวที่น่าสนใจดังนั้น  ส่วนนั้นจึงต้องถูกเน้น ให้เห็นเด่นชัดขึ้นมา เป็นพิเศษกว่าส่วนอื่น ๆ  ซึ่งจะทำให้ผลงานมีความงาม สมบูรณ์ ลงตัว และน่าสนใจมากขึ้น การเน้นจุดสนใจสามารถทำได้  3  วิธี คือ  <br />\n  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">  1. การเน้นด้วยการใช้องค์ประกอบที่ตัดกัน (Emphasis by Contrast) สิ่งที่แปลกแตก   ต่างไปจากส่วนอื่นๆ ของงาน จะเป็นจุดสนใจ ดังนั้น การใช้องค์ประกอบที่มีลักษณะ   แตกต่าง หรือขัดแย้ง กับส่วนอื่น ก็จะทำให้เกิดจุดสนใจขึ้นในผลงานได้ แต่ทั้งนี้ต้อง <br />\n  พิจารณาลักษณะความแตกต่างที่นำมาใช้ด้วยว่า ก่อให้เกิดความขัดแย้งกันในส่วนรวม   และทำให้เนื้อหาของงานเปลี่ยนไปหรือไม่  โดยต้องคำนึงว่า แม้มีความขัดแย้ง แตก   ต่างกันในบางส่วน และในส่วนรวมยังมีความกลมกลืนเป็นเอกภาพเดียวกัน </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">  2. การเน้นด้วยการด้วยการอยู่โดดเดี่ยว (Emphasis by Isolation)  เมื่อสิ่งหนึ่งถูกแยก   ออกไปจากส่วนอื่น ๆ ของภาพ หรือกลุ่มของมัน สิ่งนั้นก็จะเป็นจุดสนใจ   เพราะเมื่อ   แยกออกไปแล้วก็จะเกิดความสำคัญขึ้นมา   ซึ่งเป็นผลจากความแตกต่าง    ที่ไม่ใช่แตก <br />\n  ต่างด้วยรูปลักษณะ แต่เป็นเรื่องของตำแหน่งที่จัดวาง  ซึ่งในกรณีนี้ รูปลักษณะนั้นไม่   จำเป็นต้องแตกต่างจากรูปอื่น   แต่ตำแหน่งของมันได้ดึงสายตาออกไป    จึงกลายเป็น   จุดสนใจขึ้นมา </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">  3. การเน้นด้วยการจัดวางตำแหน่ง (Emphasis by Placement) เมื่อองค์ประกอบอื่น ๆ   ชี้นำมายังจุดใด ๆ จุดนั้นก็จะเป็นจุดสนใจที่ถูกเน้นขึ้นมา     และการจัดวางตำแหน่งที่   เหมาะสม ก็สามารถทำให้จุดนั้นเป็นจุดสำคัญขึ้นมาได้เช่นกัน </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">    พึงเข้าใจว่า การเน้น ไม่จำเป็นจะต้องชี้แนะให้เห็นเด่นชัดจนเกินไป สิ่งที่จะต้อง   ระลึกถึงอยู่เสมอ คือ เมื่อจัดวางจุดสนใจแล้ว จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้สิ่งอื่นมา   ดึงความสนใจออกไป จนทำให้เกิดความสับสน  การเน้น สามารถกระทำได้ด้วยองค์ <br />\n  ประกอบต่าง ๆ ของศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น เส้น  สี แสง-เงา  รูปร่าง รูปทรง หรือ พื้นผิว   ทั้งนี้ขึ้นอยู่ความต้องการในการนำเสนอของศิลปินผู้สร้างสรรค์ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><strong> <span style=\"color: #0000ff\">5. เอกภาพ (Unity)</span></strong></span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">   เอกภาพ  หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขององค์ประกอบศิลป์ทั้งด้านรูปลักษณะ   และด้านเนื้อหาเรื่องราว  เป็นการประสานหรือจัดระเบียบของส่วนต่าง ๆให้เกิดความเป็น หนึ่งเดียว เพื่อผลรวมอันไม่อาจแบ่งแยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกไป <br />\n    การสร้างงานศิลปะ คือ  การสร้างเอกภาพขึ้นจากความสับสน  ความยุ่งเหยิง  เป็นการจัดระเบียบ   และดุลยภาพ ให้แก่สิ่งที่ขัดแย้งกันเพื่อให้รวมตัวกันได้ โดยการเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆให้สัมพันธ์กัน<br />\nเอกภาพของงานศิลปะ มีอยู่  2 ประการ คือ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"> 1. เอกภาพของการแสดงออก หมายถึง การแสดงออกทีมีจุดมุ่งหมายเดียว แน่นอน และมี   ความเรียบง่าย  งานชิ้นเดียวจะแสดงออกหลายความคิด หลายอารมณ์ไม่ได้ จะทำให้สับสน   ขาดเอกภาพ  และการแสดงออกด้วยลักษณะเฉพาตัวของศิลปินแต่ละคน ก็สามารถทำให้   เกิดเอกภาพแก่ผลงานได้<br />\n 2. เอกภาพของรูปทรง คือ การรวมตัวกันอย่างมีดุลยภาพ และมีระเบียบขององค์ประกอบ   ทางศิลปะ เพื่อให้เกิดเป็นรูปทรงหนึ่ง ที่สามารถแสดงความคิดเห็นหรืออารมณ์ของศิลปิน   ออกได้อย่างชัดเจน เอกภาพของรูปทรง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อความงามของผลงานศิลปะ   เพราะเป็นสิ่งที่ศิลปินใช้เป็นสื่อในการแสดงออกถึงเรื่องราว  ความคิด และอารมณ์  ดังนั้น  กฎเกณฑ์ในการสร้างเอกภาพในงานศิลปะเป็นกฎเกณฑ์เดียวกันกับธรรมชาติ  ซึ่งมีอยู่ 2   หัวข้อ  คือ </span></p>\n<p>     1. กฎเกณฑ์ของการขัดแย้ง (Opposition) มีอยู่ 4 ลักษณะ คือ <br />\n          1.1 การขัดแย้งขององค์ประกอบทางศิลปะแต่ละชนิด  และรวมถึงการขัดแย้งกันของ <br />\n  องค์ประกอบต่างชนิดกันด้วย <br />\n          1.2 การขัดแย้งของขนาด <br />\n          1.3 การขัดแย้งของทิศทาง <br />\n          1.4 การขัดแย้งของที่ว่างหรือ จังหวะ <br />\n      2. กฎเกณฑ์ของการประสาน (Transition) คือ การทำให้เกิดความกลมกลืน ให้สิ่งต่าง ๆ   เข้ากันด้อย่างสนิท      เป็นการสร้างเอกภาพจากการรวมตัวของสิ่งที่เหมือนกันเข้าด้วยกัน  การประสานมีอยู่  2   วิธี  คือ </p>\n<p>          2.1 การเป็นตัวกลาง (Transition) คือ  การทำสิ่งที่ขัดแย้งกันให้กลมกลืนกัน ด้วยการ   ใช้ตัวกลางเข้าไปประสาน  เช่น สีขาว กับสีดำ ซึ่งมีความแตกต่าง ขัดแย้งกันสามารถทำให้  อยู่ร่วมกันได้อย่างมีเอกภาพ   ด้วยการใช้สีเทาเข้าไปประสาน  ทำให้เกิดความกลมกลืนกัน   มากขึ้น <br />\n          2.2 การซ้ำ (Repetition)  คือ การจัดวางหน่วยที่เหมือนกันตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไป  เป็น <br />\n  การสร้างเอกภาพที่ง่ายที่สุด แต่ก็ทำให้ดูจืดชืด น่าเบื่อที่สุด <br />\n      <br />\n        นอกเหนือจากกฎเกณฑ์หลักคือ การขัดแย้งและการประสานแล้ว ยังมีกฎเกณฑ์รอง<br />\n   อีก 2 ข้อ คือ </p>\n<p>        1. ความเป็นเด่น (Dominance)  ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ <br />\n            1.1 ความเป็นเด่นที่เกิดจากการขัดแย้ง ด้วยการเพิ่ม หรือลดความสำคัญ   ความน่าสนใจ  ในหน่วยใดหน่วยหนึ่งของคู่ที่ขัดแย้งกัน <br />\n             1.2 ความเป็นเด่นที่เกิดจากการประสาน \n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">        2. การเปลี่ยนแปร (Variation) คือ การเพิ่มความขัดแย้งลงในหน่วยที่ซ้ำกัน เพื่อป้องกัน   ความจืดชืด น่าเบื่อ ซึ่งจะช่วยให้มีความน่าสนใจมากขึ้น การเปลี่ยนแปรมี  4  ลักษณะ คือ </span></p>\n<p>           2.1 การปลี่ยนแปรของรูปลักษณะ <br />\n           2.2 การปลี่ยนแปรของขนาด <br />\n           2.3 การปลี่ยนแปรของทิศทาง <br />\n           2.4 การปลี่ยนแปรของจังหวะ </p>\n<p>            การเปลี่ยนแปรรูปลักษณะจะต้องรักษาคุณลักษณะของการซ้ำไว้ ถ้ารูปมีการเปลี่ยน   แปรไปมาก  การซ้ำก็จะหมดไป  กลายเป็นการขัดแย้งเข้ามาแทน และ  ถ้าหน่วยหนึ่งมีการ   เปลี่ยนแปรอย่างรวดเร็ว   มีความแตกต่างจากหน่วยอื่น ๆ มาก   จะกลายเป็นความเป็นเด่น  เป็นการสร้างเอกภาพด้วยความขัดแย้ง \n</p>\n', created = 1714224021, expire = 1714310421, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:8419f2a8f7033985c168ba34f7bfd2c2' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

องค์ประกอบศิลป์

รูปภาพของ lerpong

องค์ประกอบศิลป์ 

เส้น(line)

         เส้น คือ ร่องรอยที่เกิดจากเคลื่อนที่ของจุด  หรือถ้าเรานำจุดมาวางเรียงต่อ ๆ กันไป   ก็จะเกิดเป็นเส้นขึ้น  เส้นมีมิติเดียว  คือ  ความยาว ไม่มีความกว้าง ทำหน้าที่เป็นขอบเขต   ของที่ว่าง รูปร่าง รูปทรง น้ำหนัก  สี   ตลอดจนกลุ่มรูปทรงต่าง ๆ  รวมทั้งเป็นแกนหรือโครงสร้างของรูปร่างรูปทรง          

        เส้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญของงานศิลปะทุกชนิด เส้นสามารถให้ความหมาย แสดง  ความรู้สึก และอารมณ์ได้ด้วยตัวเอง และด้วยการสร้างเป็นรูปทรงต่าง ๆ ขึ้น  เส้นมี 2  ลักษณะคือ เส้นตรง   (Straight Line) และ เส้นโค้ง   (Curve Line)  เส้นทั้งสองชนิดนี้ 
เมื่อนำมาจัดวางในลักษณะต่าง ๆ กัน จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ และให้ความหมาย ความรู้สึก  ที่แตกต่างกันอีกด้วย     ลักษณะของเส้น
   

         1. เส้นตั้ง หรือ เส้นดิ่ง  ให้ความรู้สึกทางความสูง  สง่า  มั่นคง  แข็งแรง  หนักแน่น เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อตรง
         2. เส้นนอน ให้ความรู้สึกทางความกว้าง สงบ ราบเรียบ นิ่ง ผ่อนคลาย
         3. เส้นเฉียง หรือ เส้นทะแยงมุม ให้ความรู้สึก เคลื่อนไหว รวดเร็ว ไม่มั่นคง 
         4. เส้นหยัก หรือ เส้นซิกแซก แบบฟันปลา ให้ความรู้สึก คลื่อนไหว อย่างเป็น   จังหวะ  มีระเบียบ  ไม่ราบเรียบ น่ากลัว อันตราย ขัดแย้ง ความรุนแรง
         5. เส้นโค้ง แบบคลื่น ให้ความรู้สึก เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ลื่นไหล ต่อเนื่อง สุภาพ  อ่อนโยน นุ่มนวล
         6. เส้นโค้งแบบก้นหอย ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว คลี่คลาย หรือเติบโตในทิศทางที่   หมุนวนออกมา ถ้ามองเข้าไปจะเห็นพลังความเคลื่อนไหวที่ไม่สิ้นสุด
         7. เส้นโค้งวงแคบ ให้ความรู้สึกถึงพลังความเคลื่อนไหวที่รุนแรง  การเปลี่ยนทิศทาง   ที่รวดเร็ว ไม่หยุดนิ่ง 
         8. เส้นประ ให้ความรู้สึกที่ไม่ต่อเนื่อง  ขาด  หาย  ไม่ชัดเจน  ทำให้เกิดความเครียด
   

         ความสำคัญของเส้น 
         1. ใช้ในการแบ่งที่ว่างออกเป็นส่วน ๆ
         2. กำหนดขอบเขตของที่ว่าง หมายถึง  ทำให้เกิดเป็นรูปร่าง (Shape) ขึ้นมา
         3. กำหนดเส้นรอบนอกของรูปทรง ทำให้มองเห็นรูปทรง (Form) ชัดขึ้น 
         4. ทำหน้าที่เป็นน้ำหนักอ่อนแก่ ของแสดงและเงา หมายถึง การแรเงาด้วยเส้น
         5. ให้ความรู้สึกด้วยการเป็นแกนหรือโครงสร้างของรูป และโครงสร้างของภาพ

สร้างโดย: 
ส.อ.เลอพงศ์ ยังเจริญ
รูปภาพของ pnpsuthee

เนื้อหาดีมาก ถ้ามีภาพประกอบเพิ่มมากขึ้นจะดียิ่ง

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 484 คน กำลังออนไลน์