31990 ต้นดอกโสน
นิยมนำมาปรุงเป็นอาหารพื้นบ้านคาวหวานได้หลากหลายเมนู เช่น ดอกโสนผัดน้ำมันหอยหรือลวกจิ้มกับน้ำพริกกะปิ แกงส้มดอกโสนใส่ปลาช่อน และขนมดอกโสน ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะนำมาปรุงอาหารให้รสชาติที่แสนอร่อยแล้ว คุณผู้อ่านทราบกันหรือไม่ว่า“โสน” ยังมีสรรพคุณทางยาที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย
โสนในเมืองไทยมีหลายพันธุ์ คือ โสนหิน โสนคางคก โสนหางไก่ใหญ่ โสนหางไก่เล็ก ลักษณะเป็นไม้ล้มลุกปีเดียว ลำต้นสูงประมาณ2-3 เมตร ใบเล็กฝอยคล้ายกับใบมะขามหรือใบกระถิน ดอกสีเหลืองคล้ายดอกแค แต่เล็กกว่าและมีฝักยาว มีเมล็ดในฝักคล้ายกับถั่วเขียว
สำหรับดอกโสนที่ใช้รับประทานเป็นอาหาร คือ โสนหินหรือโสนกินดอก จะออกดอกในช่วงปลายฤดูฝนประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม โดยชาวบ้านมักเก็บดอกโสนในช่วงเย็น เพราะจะได้ดอกตูมน่ารับประทาน และหากรับประทานไม่หมดสามารถนำดอกโสนมาดองเก็บไว้รับประทานได้ ซึ่งการดองทำได้ไม่ยาก โดยนำดอกโสนมาล้างให้สะอาดและใส่ไว้ในขวดโหลแก้วหรือภาชนะกระเบื้อง จากนั้นปรุงน้ำที่ใช้ดอง นำเกลือป่นผสมในน้ำซาวข้าวให้ออกรสเค็มเล็กน้อย เติมน้ำตาลทรายอีกหน่อยแล้วเทลงในภาชนะที่ใส่ดอกโสนให้ท่วมพอดี ปิดฝาทิ้งไว้ 1 วันก็สามารถรับประทานได้แล้ว ยิ่งถ้าทิ้งไว้นาน ๆ จะเปรี้ยวมากขึ้นสามารถรับประทานร่วมกับน้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า หรือน้ำพริกปลาทูก็ได้
นอกจากดอกโสนจะปรุงเป็นอาหารแล้วยังนำมาทำเป็นขนมดอกโสนได้ด้วยการนำดอกโสนมานึ่งให้สุก นำมาคลุกรวมกับแป้งข้าวเหนียว แป้งสาลี มะพร้าว และน้ำตาล รับประทานได้ ง่าย ๆ อย่างเอร็ดอร่อย ที่สำคัญดอกโสนยังให้สีเหลือง สามารถคั้นน้ำจากดอกมาทำเป็นขนมบัวลอยและขนมตาลที่มีสีเหลืองน่ารับประทานปลอดภัยไม่ต้องใส่สีผสมอาหารอีกด้วย
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของโสนประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอาซิน วิตามินซี และสารพวกแคโรทีนอยด์ โดยส่วนของโสนที่มีประโยชน์ คือดอก ใบ และต้น ซึ่งดอกนั้นมีรสชาติจืดเย็นจึงมีสรรพคุณในการแก้พิษร้อน ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ปรุงเป็นยาพอกแผลได้ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณใช้แก้ปวดมวนท้องด้วย ส่วนใบโสนมีสรรพคุณใช้ตำยาพอกแผลได้ และต้นโสนสามารถนำมาเผาไฟให้เกรียมแล้วเอามาต้มชงเอาน้ำดื่มใช้เป็นยาขับปัสสาวะได้ดีทีเดียว
คริปเกี่ยวกับโสน
ที่มา: http://youtu.be/CwcnuWts8Qs
ที่มา : http://youtu.be/f0z--9_tj0k
ขอบคุณค่ะ