อาณาจักรกรุงธนบุรี
อาณาจักรธนบุรี
พ.ศ. 2310 – 2325
เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว บ้านเมืองก็เกิดจลาจลวุ่นวายอยุ่ทั่วไป แต่ในชั่วเวลาเพียงประมาณ 7 เดือน ไทยก็กลับเป็นอิสระได้อีกครั้งหนึ่ง เพราะความสามารถของพระยาตาก หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในเวลาต่อมา โดยได้รวบรวมคนไทยต่อสู้เอาชนะพม่า และสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีของไทยต่อจากรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2277 ชาติกำเนิดเป็นคนสามัญ บิดาชื่อ นายไหฮอง (เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มีบรรดาศักดิ์เป็น ขุนพัฒน์ มีมารดาชื่อ นางนกเอี้ยง ) ทรงเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าพระยาจักรี (ขุนนางผู้ใหญ่ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ต่อมาได้รับราชการเป็นมหาดเล็ก และได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับ จนได้เป็น พระยาตาก ครองเมืองตากในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
ในขณะที่สงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 กำลังดำเนินอยู่นั้น พระยาตากได้รับคำสั่งให้มาช่วยรักษาพระนคร ปรากฏว่าได้แสดงฝีมือในการรบอย่างเข้มแข็ง ได้รับพระราชทานบำเหน็จความชอบเป็นพระยาวชิรปราการ แต่ขณะปฏิบัติการรบอยู่นั้น ได้เกิดความท้อใจในความอ่อนแอของพระเจ้าเอกทัศ และเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาจะต้องเสียแก่พม่าอย่างแน่นอน จึงได้นำกำลังทหารประมาณ 500 คนตีฝ่าวงล้อมพม่าออกมา เมื่อเดือนยี่ พ.ศ.2309 มุ่งไปทางชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก เพื่อหาที่มั่นรวบรวมผู้คนย้อนกลับมาสู้รบกับพม่าในภายหลัง
เส้นทางที่ใช้ในครั้งนี้ผ่านนครนายก ปราจีนบุรี วงลงมาฉะเชิงเทราไปทางใต้ เลียบฝั่งทะเลจนเข้าเขตเมืองระยอง และที่เมืองระยองนี้เองที่พระยาตากได้ประกาศตั้งตนเป็นเจ้าด้วยความเห็นชอบของบรรดาทหารและผู้คนทั้งปวง
กิตติศัพท์การมีชัยชนะเหนือผู้ต่อต้านระหว่างการเดินทาง ทำให้เจ้าตากมีสมัครพรรคพวกมากขึ้น จนในที่สุดก้สามารถตีได้หั้วเมืองชายทะเลตะวันออกทั้งหมด คือ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
ที่จันทบุรี เจ้าตากได้ทรงแสดงความสามารถในการใช้กำลังทหารเข้าตีป้อมค่าย ซึ่งทางเจ้าเมืองต่อต้านอย่างแข็งขัน หลังจากได้ชัยชนะแล้วเจ้าตากก็ได้ใช้เป็นฐฐานรวรวมกำลัง
ถึงปลายปี พ.ศ. 2310 เมื่อทรงเตรียมการได้เรือ 100 ลำเศษ ไพร่พลอีกประมาณ 5,000 คน จึงได้เคลื่อนทัพทางน้ำมุ่งเข้าโจมตีกรุงธนบุรีเป็นด่านแรก เกิดการปะทะกับกองกำลังของ นายทองอิน ซึ่งพม่าแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษากรุง นายทองอินถูกจับประหารชีวิต
จากนั้นทรงยกทัพต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ได้สู้รบกับสุกี้พระนายกอง ซึ่งควบคุมกองทัพพม่าอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น สุกี้ตายในที่ราบ ทหารที่เหลือก็แตกพ่าย เจ้าตากจึงได้อำนาจการปกครองประเทศกลับคืนจากพม่านับแต่วาระนั้น บรรดาเจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยตลอดจนผู้คนทั้งปวงจึงได้พร้อมใจอัญเชิญขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 แต่คนทั่วไปนิยมเรียกพระองค์ตามความเคยชินว่า พระเจ้าตากสิน
ภายหลังการสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีและกระทำพิธีอภิเษกตามขัตติยราชประเพณีแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงปูนบำเหน็จแก่แม่ทัพนายกองและไพร่พลโดยถ้วยหน้า
สำหรับผู้ที่เป้นกำลังสำคัญของพระองค์ 2 ท่าน คือ นายบุญมาได้รับการแต่งตั้งเป็น พระมหามนตรี ตำแหน่งเจ้ากรมพระตำรวจในชวา ส่วนหลวงยกกระบัตรราชบุรี (ทองด้วง) พี่ของนายบุญมา ได้รับแต่งตั้งเป็น พระราชวรินทร์ (บุญมา)
ในส่าวนอาณาประชาราษฎร์ทั่วไปนั้นพระองค์ได้ทรงดำเนินการปลุกปลอบ ชักชวนผู้ที่ยังหลบซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ ให้ออกมาสู่ภูมิลำเนาเดิม และได้ทรงพระเกรุณาแจกจ่ายอาหาร เสื้อผ้า และเงินตรา บรรเทาความเดือดร้อนที่กำลังประสบกันอยู่อย่างทั่วถึง
การปราบชุมนุมต่างๆ
ในระยะที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน พ.ศ. 2310 นั้น มีคนไทยพยายามตั้งตัวเป็นใหญ่ โดยการรวบรวมคนตั้งเป็นชุมนุมหรือก๊กต่างๆ ชุมนุมทีสำคัญๆ นอกเหนือจากชุมนุมที่สำคัญๆ นอกเหนือจากชุมนุมของพระยาตาก (สิน) เองแล้ว ได้แก่ ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าพิมาย ชุมนุมเจ้าพิมาย ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช และชุมนุมเจ้าพระฝาง เมื่อทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงใช้เวลาประมาณ 3 ปี ปราบปรามชุมนุมต่างๆ ให้อยู่ในอำนาจของกรุงธนบุรี ทำให้คนไทยทีเคยแตกแยกกันกลับเข้ามารวมตัวเป็นปีกแผ่นได้ใหม่
การฟื้นฟูวัฒนธรรม
แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจะทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการสร้างบ้านเมืองและป้องกันประเทศ แต่ก็มิได้ทรงทอดทิ้งงานด้านวัฒนธรรม การฟื้นฟูวัฒนธรรมที่สำคัญในสมัยนี้ ได้แก่
ด้านศาสนา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ทรงฟื้นฟูพระวินัยและชำระความบริสุทธิ์ของพระสงฆ์ ทรงสสร้างและบูรณะวัดหลายแห่ง โปรดเกล้าฯ ให้คัดลอกพระไตรปิฎกไว้เป็นฉบับหลวง และมีการอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเมืองเวียงจันทร์มาประดิษฐฐานที่วัดอรุณราชวราราม
ด้านศิลปะและวรรณกรรม ศิลปะส่วนใหญ่เป็นงานสถาปัตยกรรม ปรากฏในงานก่อสร้างพระราชวังเดิม งานบูรณะซ่อมแซมวัดต่างๆ ทางด้านนาฎศิลป์และดุริยางคศิลป์ก็ยังคงรักษาของเดิมเอาไว้ส่วนทางด้านวรรณกรรมมีผลงานน้อย ที่สำคัญได้แก่ พระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์บางตอน และผลงานของหลวงสรวิชิต คือ ลิลิตเพชรมงกุฎ และอิเหนาคำฉันท์
การปกครอง
ลักษณะการปกครองของกรุงธนบุรีดำเนินตามแบบแผนสมัยอยุธยา คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีอาญาสิทธิ์เด็ดขาดในการรักษาบ้านเมือง แบ่งราชการบริหารดังนี้
การปกครองส่วนกลาง มีกรุงธนบุรีเป็นราชธานี มีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน กับ สมุหพระกลาโหม เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร ร่วมเป็นที่ปรึกษาข้อราชกิจของพระมหากษัตริย์ การบริหารราชการได้แบ่งออกเป็น 4 กรม ที่เรียกว่า จตุสดมภ์
การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งออกเป็น
๏ การปกครองหัวเมืองชั้นใน คือ เมืองที่อยู่รายรอบราชธานี เป็นเมืองชั้นจัตวา มีผู้ปกครองเรียกว่า “ผู้รั้ง” การบังคับบัญชาขึ้นต่อเสนาบดีจตุสดมภ์ในราชธานี
๏ การปกครองหัวเมืองภายในราชอาณาจักร เรียกว่า หัวเมืองชั้นนอก หรือเมืองพระยามหานครเป็นเมืองที่อยู่นอกเขตราชธานีออกไป แบ่งออกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งข้าราชการผู้ใหญ่ออกไปเป็นเจ้าเมือง
๏ การปกครองหัวเมืองประเทศราช ได้แก่ หัวเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไป หรือหัวเมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอื่น ได้แก่ กัมพูชา ลาว เชียงใหม่ และนครศรีธรรมราช เมืองเหล่านี้ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามเวลากำหนด
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
1. ความสัมพันธ์กับพม่า การติดต่อเกี่ยวข้องกับพม่าในสมัยกรุงธนบุรี เป็นไปในลักษณะความขัดแย้งโดยตลอด เริ่มจากการรบครั้งแรกที่ค่ายโพธิ์สามต้น
หลังจากนั้นก็มีการรบครั้งอื่นๆ เกิดขึ้นอีกถึง 9 ครั้ง ในช่วง พ.ศ. 2311 ถึง พ.ศ. 2319 ทุกครั้งไทยเป็นฝ่ายชนะ ครั้งสำคัญได้แก่
๏ การรบกับพม่าที่บางกุ้ง สมุทรสงคราม พ.ศ. 2311 พม่าเสียอาวุธ เสบียงอาหาร และเรือ เป็นจำนวนมาก
๏ พม่าตีเมืองพิชัย พ.ศ. 2316 การรบตั้งนี้ทำให้เกิดวีรกรรม พระยาพิชัยดาบหัก ขึ้น
๏ อะเซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ พ.ศ. 2318 – 2319 เป็นสงครามครั้งสำคัญที่สุดสมัยกรุงธนบุรี การรบครั้งนี้พม่าเสียอาวุธเป็นจำนวนมาก ไพร่พลถูกจับเป็นเชลยหลายพันคน และต้องยกทัพกลับไป เพราะทางพม่ามีการผลัดเปลี่ยนกษัตริย์
2. ความสัมพันธ์กับเขมร เมื่อทรงจัดการกรุงธนบุรีเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระราชสาสน์ถึงเขมร ซึ่งเคยเป็นประเทศราชของ
ไทยมาก่อนแล้วแข็งเมืองไป ให้กลับมาสวามิภักดิ์ต่อไทยดังเดิม เขมรไม่ยอม จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปตีเขมรเมื่อ พ.ศ. 2312 แต่ยังไม่สำเร็จอีก 2 ปีต่อมาจึงเสด็จยกทัพไปตีเขมรอีกครั้ง และตีได้สำเร็จ
ครั้นถึง พ.ศ. 2323 เกิดกบฏในเขมร สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปปราบ พอดีเกิดจลาจลวุ่นวายทางกรุง
ธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์คึกจึงต้องยกทัพกลับ
3. ความสัมพันธ์กับลาว กรุงธนบุรีทำศึกกับลาว 2 ครั้ง ครั้งแรกไทยตีนครจำปาศักดิ์ เมื่อ พ.ศ. 2319 ครั้งที่ 2 ไทยตีเมืองเวียงจันทน์และได้อัญเชิญพระแก้ว
มรกตมายังกรุงธนบุรี
4. ความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ทางตะวันออกมีการค้าขายกับจีนและญี่ปุ่น โดยเฉพาะจีนได้คบค้าอย่างใกล้ชิดมาแต่ต้นรัชกาล ส่วนประเทศทางตะวันตกมีบาง
ประเทศเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแถบนี้ ได้แก่ ฮอลันดา อังกฤษ และโปรตตุเกส
เหตุการณ์ตอนปลายสมัยธนบุรี
ในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ได้บันทึกไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระสติฟั่นเฟื่อนไป เข้าพระทัยว่าทรงบรรลุโสดาบัน และจะให้พระสงฆ์กราบไหว้พระองค์ซึ่งเป็นคฤหัสถ์ บ้านเมืองจึงเกิดความระส่ำระสาย นอกจากนี้ราษฎรทั่วไปยังได้รับความเดือดร้อนจากข้าราชการที่ทุจริตกดขี่เหงหาประโยชน์ส่วนตัว เป็นเหตุให้ราษฎรละทิ้งบ้านเรือนหนีเข้าป่าไปเป็นจำนวนมาก
ขณะเดียวกันก็ได้เกิดกบฏขึ้นที่อยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีรับสั่งให้ระยาสรรค์ขึ้นไปสอบสวน แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้ากับพวกกบฏ และยกพวกมาปล้นพระราชวังที่กรุงธนบุรี ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2324 บังคับให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชออกผนวช และคุมพระองค์ไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม แล้วพระยาสรรค์ก้ตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน
เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ทราบข่าวการก่อจลาจลในกรุงธนบุรี ก็ยกทัพกลับจากการตีเขมร แต่ยังคงกองทัพบางส่วนตั้งมั่นคุมเชิงอยู่ และไม่ให้แจ้งข่าววแก่กรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรสของพระเจ้าตากสินมหาราชซึ่งคุมกองทัพอยู่ด้วย สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเดินทัพมาทางเมืองปราจีนบุรี ซึ่งบรรดาขุนนางผู้ใหญ่มาคอยต้อนรับอยู่แล้ว เสด็จลงเรือข้ามแม่น้ำไปยังพระราชวังกรุงธนบุรีขึ้นประทับบนศาลาลูกขุนมหาดไทย เพื่อพิจารณาวินิจฉัยเหตุการณ์บ้านเมือง ไม่ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม ขุนนางและประชาราษฎร์เดือดร้อนไปทั่ว จึงรับสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตสำเร็จโทษา บรรดาขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย พ่อค้าและอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงจึงพร้อมกันทูลอัญเชิญขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 นั้นเอง