สรุป
ที่มาของภาพ : http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/6/68/Brain_Gym_logo.jpg
ที่่มาของภาพ : http://www.coachinglogic.com/images/1-mind.gif
สรุป เบรนยิม (Brain Gym) คือการบริหารสมองเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ให้เกิดความสมดุลย์ของการทำงาน
ของสมอง ให้เกิดการพัฒนาสมองทั้ง 2 ข้าง โดยกระบวนการการใช้อวัยวะแขน ขา ทั้งซ้ายขวา ให้สมองได้สั่งการ อาจเป็นการ
วาด การเขียน การเต้น การทำงาน ตลอดจนการออกกำลังกาย เป็นต้น
เพื่อให้เกิดสมดุลย์ในการพัฒนาทั้งครบ เราจึงควรใส่ใจ ให้เวลา ในการฝึกการใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย
ให้เกิดการทำงาน ใช้งาน แม้จะไม่ถนัดนัก นั่นก็คือการฝึกที่จะเกิดผลดี เกิดการกระตุ้นการทำงานของสมองทั้ง 2 ซีก ให้สมอง
ได้ออกคำสั่งบ่อยๆทั้งซ้าย-ขวา สมองจะสดใน ฉับไว ปลอดโปร่ง ในการคิด ในการหาคำตอบ วิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือ สรุป
และอื่น ๆ
การออกกำลังกาย ก็สามารถทำได้ในหลายๆวิธี ตามที่ท่านสะดวกหรือตามสภาพแวดล้อม แต่ควรหาโอกาส
ทำเป็นประจำ สม่ำเสมอและต่อเนื่อง เช่น ถ้ามีเวลามาก ก็ทำเต็มรูปแบบ ถ้ามีเวลาน้อย สถานที่จำกัด ก็ยังควรหาโอกาสทำ
บ้าง เป็นต้น สำหรับผู้ที่ต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ต้องเปลี่ยนอิริยาบทบ้าง เพื่อลดการเกิดความเครียด
สะสมโดยไม่รู้ตัว อันเป็นบ่อเกิดของปัญหาสารพัดโรคที่จะตามมา
การออกกำลังจิต ก็มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองไม่น้อยเลย เพราะถ้าจิตมีสมาธิ ปัญญาก็จะเกิด เป็นการเกิด
จากภายใน การรู้ตัวในทุกอิริยาบท รู้ตัวในทุกอารมณ์ ความรู้สึก หรือจะเรียกว่ารู้เท่าทันจิต นั่นคือการมีสติ / สมาธิ ที่ดีเลิศ
เพื่อจะได้รู้ตัวทั่วพร้อม และอย่างทฤษฎีพหุปัญญาข้างล่างนี้ คือ
ทฤษฎีพหุปัญญา
Theory of Multiple Intelligences
ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เป็นผู้หนึ่งที่พยายามอธิบายให้เห็นถึงความสามารถที่หลากหลาย โดยคิดเป็น “ ทฤษฎีพหุปัญญา ” (Theory of Multiple Intelligences) เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหนบ้าง แล้วแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใด เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป
เด็กบางคนเก่งทุกเรื่อง เด็กบางคนเก่งเฉพาะบางเรื่อง แต่ไม่มีใครที่ไม่เก่งเลยสักเรื่อง
เด็กที่ไม่เก่งคณิตศาสตร์ อาจจะมีความสามารถในการใช้ภาษาดี
เด็กที่ไม่เก่งด้านภาษา อาจจะมีความสามารถในด้านคณิตศาสตร์ดี
เด็กที่ไม่เก่งทั้งคณิตศาสตร์ และภาษา อาจเป็นเลิศทางศิลปะ
เด็กที่ไอคิวปกติ อาจเป็นอัจฉริยะทางกีฬา เด็กที่ไอคิวต่ำกว่าปกติ อาจเป็นอัจฉริยะทางดนตรี
เด็กที่ไอคิวสูง อาจเก่งหลายเรื่อง แต่ขาดทักษะทางสังคมที่ดี
เด็กที่ไม่เก่งทั้งคณิตศาสตร์ ภาษา ดนตรี กีฬา และศิลปะ ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข มีเพื่อนฝูงมากมาย ได้เช่นกัน เด็กบางคนเก่งทุกเรื่อง เด็กบางคนเก่งเฉพาะบางเรื่อง แต่ไม่มีใครที่ไม่เก่งเลยสักเรื่อง ที่ชัดเจน คือ เด็กแต่ละคนมักมีปัญญาความสามารถด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่นกว่าเสมอ ไม่มีใครที่โดดเด่นทุกด้านเท่ากันหมด หรือไม่โดดเด่นเลยสักด้านเดียว
การค้นหาปัญญาความสามารถ เสริมสร้างโอกาสให้เด็กได้สัมผัสและแสดงออก และส่งเสริมพัฒนาในด้านที่เด็กถนัด จะช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาในที่สุด
บทความของ นายแพทย์ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
ที่มาของภาพ : http://hit.rakjung.com/191.html
ขอให้ทุกท่านได้เริ่มต้นลงมือฝึกปฏิบัติทีละเล็กละน้อย แต่บ่อยๆ เท่าที่จะมีโอกาส ก็จะสามารถพัฒนาสมองทั้ง 2 ซีก
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มาของภาพ : http://www.icezallways.orakle.info/pink/pink_purple_home_icon.png