หนังสือเสริมการเรียนรู้เรื่อง “ครอบครัวหรรษา” เรื่องที่ 1 เรื่องน่าขัน...ของครอบครัวหรรษา จัดทำโดย นายธนู พบลาภ ครูชำนาญการ

รูปภาพของ thanoo2511

หนังสือเสริมการเรียนรู้เรื่อง  “ครอบครัวหรรษา”

เรื่องที่ 1 เรื่องน่าขัน...ของครอบครัวหรรษา

          แสงแดดในยามเย็นกำลังลาลับขอบฟ้าของเมืองนครปฐม องค์พระปฐมเจดีย์วันนี้ดูเหลืองอร่ามสดใสเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ในยามสายัณอย่างวันนี้ ดูงดงามราวกับมีสีทองมาฉาบทาบตัวองค์พระไว้กระนั้น  สภาพการจราจรในเมืองของวันศุกร์กลางเดือนพฤศจิกายน ดูคับคั่งเป็นพิเศษกว่าวันอื่น ๆในสัปดาห์  คงอาจจะเป็นเพราะว่าทุกคนรีบกลับบ้านเพื่อไปใช้เวลากับครอบครัวในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็เป็นได้

          ครอบครัวหรรษา เป็นครอบครัวข้าราชการครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบริเวณนอกตัวเมืองนครปฐม บริเวณชานเมืองที่ครอบครัวนี้อาศัยอยู่นั้น เต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด มีลำคลองชลประทานไหลผ่าน บรรยากาศในยามเย็นกลางเดือนอย่างนี้ยิ่งให้ทำสภาพอากาศที่นี่เย็นจนใคร ๆ ที่มาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “น่าอยู่จริง ๆ”  ส่วนผู้คนที่นี่ล้วนประกอบอาชีพเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมขนาดย่อมแทบทุกหลังคาเรือนก็ว่าได้

“เด็ก ๆ กลับมาบ้านแล้ว  รีบไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อนนะ เดี๋ยวค่อยลงมาทานข้าวเช้ากันนะ”  เสียงแม่หวาน  แม่ของเด็ก ๆ ในครอบครัวหรรษา  เธอเป็นคนใจดี มีความรู้มากอาจจะเป็นเพราะอาชีพข้าราชการครูที่ทำให้เธอต้องแสวงหาความรู้ตลอดเวลา  แม่หวานของเด็ก ๆ มักจะเล่านิทานหรือเรื่องน่ารู้อะไรอีกมากมายที่เด็ก ๆ ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนอยู่เสมอ

“หากวันนี้ทำตัวดี ๆ ไม่ดื้อ ไม่ซนมาก พ่อกับแม่จะพาลูก ๆ ไปเที่ยวงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ดีไหมลูก”  พ่อป้อง หัวหน้าครอบครัวหรรษา  ผู้มีอาชีพเป็นนักจิตวิทยาชุมชนประจำสาธารณสุขของจังหวัด  พูดเป็นเงื่อนไขส่งผลให้เด็ก    ทั้งสามคนซึ่งเป็นลูกของตนปฏิบัติตามอย่างรวดเร็วและสนุกสนาน  แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ในครอบครวนี้

“พี่ตุ๊น่ะ  ไม่ต้องมาห้องเค้านะ  พ่อป้องให้ห้องใหม่กับพี่ตุ๊แล้ว  พี่จะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องน้องตี่กับน้องต๊ะไม่ได้นะ”  เสียงของตี่ ลูกสาววัย 12 ปีคนโตของครอบครัวหรรษาร้องบอกพี่ชายของตัวเอง

“เอ๊...เราเป็นพี่น้องกันนะ  ทำไมพี่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าห้องน้องไม่ได้ อย่าเรื่องมากสิ”  เสียงของตุ๊ลูกชายคนเดียวของครอบครัววัย 13 ปี ดุน้องสาว

“ก็พ่อป้องกับแม่หวานให้ห้องใหม่กับพี่ตุ๊แล้ว  ทำไมไม่ใช้ห้องของตัวล่ะ มาแย่งห้องของตี่กับต๊ะได้ยังไง  พี่ตุ๊ไม่น่ารักเลย” เสียงของต๊ะ น้องสาวคนสุดท้องของตุ๊กล่าวตำหนิและแสดงสีหน้าอย่างไม่พอใจต่อการกระทำของพี่ชายตัวเอง

“เอ๊ะ....ยายตี่ ยายต๊ะ  นี่แกสองคนจะรุมว่าพี่เหรอ  ก็ได้พี่ไม่ยุ่งด้วยแล้ว”  ว่าแล้วตุ๊ก็เดินออกจากห้องน้องสาวไปห้องของตัวเองพร้อมกับการเดินที่กระแทกเท้าแล้วปิดประตูใส่น้องสาวทั้งสองอย่างแรง

“ปัง”  เสียงประตูดังลั่น  ทำให้พ่อและแม่ที่เตรียมของอยู่ชั้นล่างต้องตระโกนขึ้นมาเตือนสติบรรดาลูก ๆ ของตัวเอง

“เสียงอะไรน่ะ  รีบแต่งตัวแล้วลงมาหาพ่อกับแม่เร็ว ๆ เลย” เสียงพ่อป้องดังที่สุด  เหมือนกับออกคำสั่ง ปนกับความไม่พอใจที่ลูก ๆ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่

สักพักหนึ่ง  ตุ๊ ตี่และต๊ะก็เดินลงมาจากชั้นสองของบ้านพร้อมกับแสดงท่าทีของการไม่พอใจซึ่งกันและกันอยู่ในที เมื่อมาถึงที่ห้องรับแขก  ตุ๊ก็นั่งไปอีกทางหนึ่ง ส่วนตี่กับต๊ะก็เช่นกันนั่งแยกจากกันและไม่มองหน้ากันเหมือนก่อน

“เอาล่ะ  เป็นอะไรกัน” พ่อป้องถาม

“ก็พี่ตุ๊สิพ่อ  มีห้องของตัวเองห้องใหม่แต่ไม่ไปอยู่  มาถึงจะใช้ห้องน้องตี่กับต๊ะให้ได้”  เสียงของตี่เริ่มต่อว่าพี่ชายของตัวเอง

“ก็พี่เคยใช้ห้องนี้ ก็อยากมาบ้างไม่ได้หรือไง”  พี่ชายตอบด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

“ไม่จริงหรอก ห้องของตี่กับต๊ะสะอาด  ไม่รกรุงรังเหมือนห้องของพี่เลย  ที่สำคัญน้องสองคนก็ไม่มีกลิ่นตัวแรงอย่างพี่สักหน่อย”  เสียงเล็ก ๆ ของน้องต๊ะเริ่มฟ้องคุณพ่อกับคุณแม่

“เรารู้ได้ยังไงว่าห้องพี่สกปรก  ตัวพี่มีกลิ่น  เคยเข้าไปห้องของพี่เหรอ”  เสียงตุ๊เริ่มดังขึ้น

“ไม่เคย แต่ผ่านก็เห็นไง  พี่ไม่ปิดห้อง  โห...ดูไม่ได้เลยห้องของพี่”  ต๊ะเถียงด้วยเสียงเย้ยหยัน

“แหม...ห้องเราสะอาดมากเลยนะ” ตุ๊เริ่มโมโหพูดจาเชิงเหน็บแนม

“เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงกัน  พ่อกับแม่เริ่มเข้าใจแล้ว”  พ่อป้องออกเสียงให้หยุดการโต้เถียง

“พี่ตุ๊ก็ผิดนะ  เรานั้นพ่อให้ห้องใหม่กับลูกเพื่อให้ลูกรู้ตัวว่าลูกโตแล้วและกำลังเป็นวัยรุ่น  ที่สำคัญคือเราน่ะเป็นผู้ชายนะ  แต่น้องสองคนเขาเป็นผู้หญิง  พ่อจึงต้องแยกห้องให้เป็นสัดเป็นส่วนไง” พ่อกล่าวชี้แจง

“ทำไมต้องแยกหญิงแยกชายด้วย” ตุ๊เริ่มตัดพ้อต่อว่า

“อ้าว...ลูกไม่สังเกตตัวเองเหรอว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง” แม่หวานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พูดพลางยิ้มหวานให้กับลูกชายของตัวเอง  สร้างความแปลกใจให้กับตุ๊เป็นอย่างยิ่ง

“ไม่ว่าจะเป็นเสียงของลูกเองที่เริ่มห้าวและใหญ่ขึ้น  หรือแม้กระทั่งกลิ่นตัวที่แรงขึ้น  ขนที่ขึ้นดกและหนามากขึ้น” เสียงของพ่อป้องบอกลูก ๆ เพื่อให้เห็นความชัดเจนยิ่งขึ้น

“ตุ๊ก็สงสัยอยู่  ทั้งตี่และต๊ะต่างก็ว่าลูกกำลังแปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนในการ์ตูน” ตุ๊เริ่มฟ้องพ่อและแม่

“เอ๋...พวกเราไปว่าพี่เขาอย่างนั้นทำไม สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติของเราทุกคน”  พ่อป้องหันมาตำหนิบรรดาลูกสาว

“ใช่จ้ะ  วันหนึ่งลูก ๆ ก็ต้องเป็นคล้าย ๆ พี่เขาเหมือนกัน” แม่หวานกล่าวต่อไป

“ยี้...ไม่เอานะคะ  หนูไม่อยากเป็นสัตว์ประหลาด”  ต๊ะบอก พลางทำสีหน้ากลัวระคนกับความขยะแขยง

“นี่....พอเลย ยายต๊ะ  คิดมากเกินไปแล้ว ก็แม่เขาบอกแล้วไงว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับร่างกายคนเราทุกคนนะ”  พ่อป้องปรามท่าทีและการแสดงออกของต๊ะ

“ฮ่า....ฮ่า...จริง ๆ จ้ะต๊ะ  ร่างกายของคนเราทั้งหญิงและชาย  เมื่อเติบโตก้าวเข้าสู่วัยรุ่นแล้วก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  หากเราไม่เข้าใจ  ไม่ใส่ใจก็จะเป็นแบบลูก ๆ นี่แหละ คือตกใจ  หรือไม่ก็กล่าวว่าร้ายคนอื่น อย่างที่ต๊ะทำไงล่ะจ๊ะ  ซึ่งไม่ดีเลย”  แม่หวานชี้แจง

“จริง ๆ แล้ว เรื่องการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมนุษย์นั้นเป็นเรื่องปกติและธรรมชาติมาก  ตุ๊กำลังโตเป็นหนุ่ม เป็นวัยรุ่น  ย่อมต้องมีกลิ่นตัวที่แรงกว่าเดิม  บางคนนั้นขนที่มีตามผิวหนังก็อาจจะมากขึ้น ผิวหยาบกร้านขึ้น  ส่วนเสียงนั้นก็จะแหบและห้าวมากกว่าเดิม สังเกตได้ที่คอของผู้ชายจะมีลูกกระเดือกที่นูนออกมาอย่างเห็นได้ชัดเลย”  พ่อป้องอธิบายเพิ่มเติม

“แล้วอย่างนี้ ตุ๊จะทำอย่างไรดีล่ะครับ  สิ่งที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงจะไม่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ” ตุ๊ถามเพื่อหาทางแก้ไข

“ไม่ยากเลย  ความสกปรกที่น้องว่านั้น พ่อคิดว่าลูกต้องแก้ไขที่ตัวลูกเอง  เรื่องนี้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ธรรมชาติให้  แต่เป็นเรื่องลักษณะชีวิตของลูกซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครชอบเลย  แต่เรื่องกลิ่นตัวนั้น ลูกสามารถนำสารส้มที่หาได้ง่ายมาใช้ทาตามบริเวณที่คิดว่ามีกลิ่นตัวก็จะช่วยดับกลิ่นได้ ส่วนเรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสียงที่แหบและห้าว  หรือเรื่องขนนั้นก็ปล่อยไปเพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติ”  พ่อป้องบอกถึงวิธีการ

“แล้วผู้หญิงล่ะคะ  มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายบ้างหรือไม่คะ”  ตี่ถามด้วยความสงสัย

“มีสิลูก  ผู้หญิงเราก็จะเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เช่น  เสียงก็อาจจะเล็กแหลมขึ้น  ส่วนเอวหรือตะโพกก็จะขยายใหญ่ขึ้น  ที่สำคัญก็คือบริเวณหน้าอกก็จะขยายอย่างเห็นได้ชัด”  แม่กล่าวอธิบายอย่างเข้าใจ

“ว้าย...”  ตี่ร้องเสียงดัง

“ตกใจอะไรล่ะเนี่ย  ก็พ่อบอกแล้วไงว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ”

“ที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้  พวกเราต้องเข้าใจว่าเป็นช่วงวัยที่ธรรมชาติเตือนเราว่าเราได้ก้าวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว”  แม่หวานกล่าวอธิบายเพิ่มเติม

“วัยเจริญพันธุ์  คือวัยอะไรคะ”  ตี่ถามแม่ด้วยความอยากรู้อย่างเห็นได้ชัด

“วัยเจริญพันธุ์  ก็คือวัยที่คนหรือสัตว์ก็ตามมีความพร้อมทางด้านกายภาพในการดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของตัวเอง  ฝ่ายชายก็จะมีน้ำเชื้อ และฝ่ายหญิงจะมีไข่อย่างไรล่ะ”  แม่หวานเล่าให้ลูก ๆ ฟัง พร้อมกับใช้มือประกอบในการอธิบาย  ทำให้ลูก ๆ สนใจฟังอย่างเห็นได้ชัด

“เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ลูกต้องรู้  และเล่าให้พ่อกับแม่ฟังถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อยู่เสมอ  เรื่องความแตกต่างระหว่างเพศชายและเพศหญิงนี้ เป็นเรื่องธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามปกติ  แต่การประพฤติปฏิบัติตัวในเรื่องเพศต้องเหมาะสมกับวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทยไงล่ะลูก”  แม่หวานกล่าวเพิ่มเติม

“อย่างไรล่ะครับ” ตุ๊ถามต่อไปด้วยความอยากรู้

“เช่น เด็กหญิงจะต้องมีกิริยามารยาทเรียบร้อย พูดจาสุภาพไม่แข็งกระด้าง ในขณะที่เด็กชายต้องเข้มแข็ง ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า  และเรื่องสำคัญที่สุดก็คือเรื่องการเจริญพันธุ์หรือเพศสัมพันธุ์นั้นเป็นเรื่องที่ต้องเป็นไปตามความเหมาะสมกับอายุ  ซึ่งลูก    ในวัยนี้ก็ยังไม่ควรคิดนะจ๊ะ”  แม่หวานกล่าวพลางจับหัวของตุ๊และตี่พร้อมกัน

“พ่อเป็นห่วงลูกสาวของพ่อมาก  ยังไงก็ตามพ่อคิดว่าเด็กผู้หญิงก็ควรรักนวลสงวนตัว คือป้องกันตนเองไม่ให้คนอื่นมาถูกเนื้อต้องตัวได้ และรักศักดิ์ศรีของความเป็นหญิง  พูดง่าย ๆ ก็คือระแวดระวังและป้องกันตนเองให้ปลอดภัยในเรื่องเพศ” พ่อป้องกล่าวพร้อมกับยิ้มไปทางตี่และต๊ะ

“เอาล่ะ เท่านี้ก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงแยกห้องให้พี่ตุ๊”  พ่อป้องถามลูก ๆ

“เข้าใจแล้วครับ เข้าใจแล้วค่ะ”  ลูกทั้งสามคนตอบพร้อมกัน

“เอ...แต่วันนี้พ่อจะพาเจ้าสัตว์ประหลาดไปงานองค์พระปฐมเจดีย์กันดีไหมหนอ”  พ่อถามเด็กพร้อมกับทำท่าคิดใคร่ครวญ

“ไปสิคะ  ไปสิครับ”  ลูก ๆ ตอบอย่างไม่ลังเลว่าตนเป็นสัตว์ประหลาดหรือไม่

“อ้าว...นี่ยอมรับว่าเป็นสัตว์ประหลาดกันหรือนี่”  แม่ถามพร้อมยิ้มเล็กจากมุมปาก

“ไม่ใช่ครับ  แต่เอ...เราก็เป็นสัตว์ประหลาดที่น่ารักที่สุดสำหรับพ่อและแม่ใช่ไหมตี่  ต๊ะ”  ตุ๊กล่าวพร้อมกับบอกน้อง 

“ใช่ค่ะ”  เสียงของตี่และต๊ะตอบพร้อมกัน

“ถ้าใช่...สัตว์ประหลาดน่ารักคนไหนไม่เปลี่ยนชุดก็ไม่ต้องไปนะ”  พ่อป้องบอกลูก ๆ ทำให้เด็กรีบเปลี่ยนชุดกันอย่างรวดเร็วด้วยความร่าเริง

ค่ำคืนอันดูเหมือนจะเกิดความสับสนขึ้นกับครอบครัวหรรษาก็กลายเป็นเรื่องที่น่าขบขันสำหรับสมาชิกในครอบครัวแห่งนี้  โดยเฉพาะพ่อป้องและแม่หวาน  ที่แอบมาหัวเราะกับคำว่า “สัตว์ประหลาด”  ที่ลูก ๆ ของตนคิดขึ้นได้อย่างไม่นึกฝัน  ยิ่งคิดก็ยิ่งเอ็นดูในความไร้เดียงสากับลูก ๆ ของตัวเอง

************************************************************************

นวัตกรรมทางการศึกษา ในการจัดการเรียนการสอน

สาระวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที 5

             โรงเรียนเทศบาล 4(เชาวนปรีชาอุทิศ)

    จัดทำโดย นายธนู  พบลาภ ตำแหน่ง ครูชำนาญการ 

  ใช้ในการเรียนการสอนเท่านั้น ห้ามลอกเลียน ห้ามก๊อปปี้

             ถ้าละเมิดจะถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

สร้างโดย: 
นายธนู พบลาภ

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 155 คน กำลังออนไลน์