0503 ประวัติของวิทยุโทรทัศน์ในประเทศไทย
ประวัติของวิทยุโทรทัศน์ในประเทศไทย
เมื่อ พ.ศ. 2495 กรมโฆษณาการ หรือ กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันได้ออกคำชี้แจงเรื่องการใช้ศัพท์ TELEVISION ในภาษาไทย ความว่า TELE แปลว่า "ไกล" หรือ "โทร" VISION แปลว่า "ภาพ" ดังนั้นจึงควรจะแปล TELEVISION ว่า "โทรภาพ" ที่มีผู้ใช้คำว่า "โทรทรรศน์" นั้นไม่ถูกต้องเพราะน่าจะตรงกับคำว่า "TELESCOPE" หรือกล้องส่องทางไกลมากกว่า
แต่ประชาชนไทยทั่วไปก็นิยมที่จะเรียกว่า "โทรทัศน์" เปลี่ยนจากสะกดจาก "ทรรศน์" เป็น "ทัศน" เสียใหม่ และคำว่าโทรทัศน์นี้ก็ใช้กันมาจนปัจจุบัน เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่เรียกว่าโทรทัศน์เพราะได้มีวิวัฒนาการของการส่งภาพทางระบบโทรคมนาคมเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า TELEPICTURE ซึ่งตรงกับคำว่า โทรภาพพอดี โทรภาพแบบนี้เป็นการส่งภาพนิ่งจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง และต่อมดาได้มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษกันต่าง ๆ ตามที่บริษัทเจ้าของระบบอุปกรณ์จะเรียก อาทิ RIDIOPHOTO หรือ TELEPHOTO และแม้แต่ TELEX ก็สามารถส่งภาพได้ ดังนั้นโทรทัศน์ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของทางราชการในสมัยแรกเริ่มจึงกลายเป็นคำถูกไปโดยปริยายในระยะต่อมา แต่โทรทัศน์ในระบบกระจายเสียง (BROADCASTING) ควรจะเรียกให้เต็มตามศัพท์ทางราชการว่า "วิทยุโทรทัศน์" เหมือนกับที่เราเรียก "วิทยุ" ในคำเต็มคือ "วิทยุกระจายเสียง"
คำว่า "วิทยุโทรภาพ" เป็นอีกคำหนึ่งที่มีใช้กันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2474 โดยพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินทรงบัญญัติขึ้น
ประวัติของวิทยุโทรภาพในเมืองไทยมีระบุไว้ในหนังสือที่ระลึกงานพิธีเปิดอาคารที่ทำการใหม่ของกรมไปรษณีย์โทรเลข (ที่ทำการ ป.ณ. กลางในปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ. 2483 ความว่า
วิทยุโทรภาพ หรือวิทยุจำลองภาพ ได้เปิดติดต่อกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2474 ใช้เครื่องของบริษัท TELEFUNKEN สามารถรับ - ส่งภาพขนาด 10 x 22 ซม. ได้ 1 ภาพ ในเวลา 15 นาที ภาพนี้จะเป็นเอกสาร ภาพเขียนหรือภาพถ่ายก็ได้ ภาพวิทยุโทรภาพครั้งแรก คือ พระรูปกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน การใช้วิทยุโทรภาพตามลักษณะดังกล่าวไม่ได้เปิดให้บริการแก่สาธารณะ เข้าใจกันว่าค่าใช้จ่ายในการส่งภาพคงจะสูงมาก และไม่มีความจำเป็นในการใช้บริการดังกล่าวด้วย
สำหรับวิทยุโทรภาพหรือที่เรียกว่า วิทยุโทรทัศน์ในปัจจุบันมีความเป็นมาที่ควรจะทราบดังต่อไปนี้
รัฐบาลในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ลงมติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2494 เห็นสมควรให้จัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ขึ้นด้วยเล็งเห็นคุณประโยชน์และเพื่อให้เยาวชนได้มีความรู้กว้างไกล จึงได้มองเรื่องให้กรมประชาสัมพันธ์พิจารณาดำเนินการขอตั้งงบประมาณในการตั้งสถานีส่งและจำหน่างเครื่องรับด้วย กรมประชาสัมพันธ์เสนอยอดเงิ นไป 12 ล้านบาทเศษ รัฐบาลจึงนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรปรากฎว่าถูกยังยั้งมิให้ดำเนินการ อ้างว่าเปลืองเงินงบประมาณโดยใช่เหตุ
เมื่อทางฝ่ายรัฐบาลต้องระงับความดำริไป ได้มีประชาชนบางกลุ่มเห็นคุณค่าของวิทยุโทรทัศน์และก็มีข่าวว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในทวีปเอเซีที่เริ่มดำเนินการติดตั้งสถานีและออกอากาศรายการวิทยุโทรทัศน์ ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2494 จึงได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นบริษัทขึ้นเพื่อดำเนินการโดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน คือ "บริษัทไทยโทรทัศน์จำกัด" มี พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้นเป็นประธานกรรมการ มีพลโท ม.ล.ขาบ กุญชร อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เป็นรองประธานกรรมการและนายประสงค์ หงสนันท์ เป็นกรรมการผู้จัดการ ดำเนินการตั้งเป็นบริษัททำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2495
ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการนำวิทยุโทรทัศน์เข้ามาเป็นครั้งแรกคือ นายประสิทธิ์ ทวีสิน ประธานกรรมการบริษัทวิเชียรวิทยุและโทรภาพ โดยนำเครื่องส่ง 1 เครื่อง เครื่องรับ 4 เครื่องหนักกว่า 2 ตัน ทำการทดลองให้คณะรัฐมนตรีชมเป็นครั้งแรกที่ทำเนียบรัฐบาล และต่อมาเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2495 เปิดให้ประชาชนที่ศาลาเฉลิมกรุง ได้มีผู้ชมอย่างล้นหลามด้วยเป็นของแปลกใหม่
การก่อสร้างสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่บางขุนพรหม (ที่ตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยใหม่ในปัจจุบัน) สำเร็จเรียบร้อยเรียกว่า "สถานีโทรทัศน์" ส่งออกอากาศทางช่อง 4 เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2498 ซึ่งเป็นวันชาติ ไทยจึงนับเป็นชาติแรกในเอเชียอาคเนย์ที่มีโทรทัศน์ออกอากาศให้ประชาชนชม
ความนิยมของประชาชนที่มีต่อรายการโทรทัศน์แพร่ขยายอย่างรวดเร็ว ทางราชการทหารจึงให้ตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่สนามเป้า ถนนพหลโยธิน เปิดทำการเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 ซึ่งตรงกับวันกองทัพบก