Home   Menu   ผู้จัดทำ   ประวัติศาสตร์   สัญลักษณ์   จังหวัด   วันต่างๆ   อาหาร    าษา   พิธีแต่งงาน

.-*~*-.สัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น!! ((Symbol of Japan!!)).-*~*-.

      •    ประวัติกิโมโน กิโมโน หรือชุดแต่งกายของชาวอาทิตย์อุทัย มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยเฮอัน หรือตรงกับค.ศ.794-1192 หรือพ.ศ.1337-1735 ก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นสมัยนารา (ค.ศ.710-794) ชาวญี่ปุ่นนิยมแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย พอมาถึงสมัยเฮอัน ซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่กิโมโน ชาวญี่ปุ่นพัฒนาเทคนิคการตัดชุดเสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อมาสวมใส่ หยิบมาคลุมตัวได้ทันที ทั้งยังเป็นชุดที่เหมาะกับทุกส าพอากาศ ถ้าหนาวๆใช้ผ้าหนา ถ้าเป็นฤดูร้อนก็เปลี่ยนไปใช้ผ้าบางๆ ความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว โดยในวงการแฟชั่นสมัยนั้นผู้ตัดเย็บก็จะคิดหาวิธีที่ทำให้ชุดกิโมโนมีสีสัน ผสมผสนานกันด้วยสีต่างๆ ให้เหมาะกับส าพอากาศและชนชั้นทางสังคม ถือว่าเป็นช่วงที่ชุดพัฒนาในเรื่อง “สี” มากที่สุด ในยุคคามาคุระ (ค.ศ.1192-1338) และยุคโรมาจิ (ค.ศ.1338-1573) ทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะนิยมใส่ชุดกิโมโนที่สีสันแสบทรวง ยิ่งเป็นนักรบจะต้องยิ่งใส่ชุดที่สีฉูดฉาดมากๆ เพื่อแสดงถึงความเป็นผู้นำ บางครั้งเรียกว่าไปแข่งแฟชั่นกันในสนามรบกันเลยทีเดียว ต่อมาในยุคเอโดะ (ค.ศ.1600-1868) ช่วงที่โชกุนโตกูกาวาปกครองญี่ปุ่น โดยให้ขุนนางไปปกครองตามแคว้นต่างๆ นั้น ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักจะแต่งตัวแบ่งแยกตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่าเป็น “ชุดเครื่องแบบ” เลยด้วยซ้ำ ชุดที่ใส่นี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ชุดกิโมโน ชุดคามิชิโม ตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้งและกางเกงขายาวที่ดูเหมือนกระโปรงแยกชิ้น ชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้องเนี้ยบมาก ดังนั้นจึงเป็นช่วงที่พัฒนากิโมโนไปอีกขั้น จนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง สมัยต่อมาในยุคเมจิ (ค.ศ.1868-1912) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากต่างชาติรุนแรงมาก ชาวแดนปลาดิบจึงเริ่มเปลี่ยนไปใส่เสื้อสากลมากขึ้น และจะใส่ชุดกิโมโนเมื่อถึงงานที่เป็นพิธีการ


      •   ซามูไร(Samurai) หมายความว่า ผู้รับใช้ ดาบที่อยู่ในญี่ปุ่นมักไม่เรียกว่า ดาบซามูไร คนต่างประเทศเท่านั้นที่จะเรียกดาบญี่ปุ่นว่า ดาบซามูไร ซามูไร เป็นชื่อเรียกของนักรบ หรือเรียกง่ายๆ แบบของยุโรบว่า ฮัศวินลัทธิ "บูชิโด" สอนให ้เหล่าซามูไร ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ต่อหน้าที่ และจงรัก ักดี ต่อเจ้านายของตน ซามูไรถือว่า ความตายเป็นเรื่องเล็กน้อย ปรัชญาแห่งบูชิโด กล่าวไว้ว่า "ความตายเป็นสิ่งเบาบางยิ่งกว่าขนนก" ส่วนมาก คนญี่ปุ่นจะ เห็นศักดิ์ศรี เป็นหลัก ชีวิตเป็นรอง จะเห็น ตัวอย่างถึงทุกวันนี้ เรื่องที่ว่าญี่ปุ่นเป็นชาตินิยม ว่ากันว่าดาบซามูไรนั้น คมมาก ดาบสามารถ ฟันคอขาดได้ เพียงครั้งเดียว บาดแผลที่ได้รับ จากดาบ จะเจ็บปวดมาก ซามูไร ยังต้องเรียนรู้ การใช้ดาบ อย่างช่ำชอง ว่องไว และคล่องแคล่ว ให้เปรียบเสมือน เป็นส่วนหนึ่งของ ร่างกาย จากความสามารถนี้เอง ทำให้ซามูไร เพียงคนเดียว สามารถสังหารศัตรู ที่รายล้อมตน กว่าสิบคน ได้ ายในชั่วพริบตา ด้วยดาบเพียงเล่มเดียว แต่ประเพณี การต่อสู้ ของชนชั้นซามูไร คือการต่อสู้ "ตัวต่อตัวอย่างมีมารยาทด้วยดาบ" ผู้แพ้ที่ยังมีชีวิตอยู่ คือผู้ที่ไร้เกียรติ ซามูไรจึง ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ การฆ่าตัวตาย อย่างสมเกียรติ ด้วยการทำ"เซปปุกุ" ชนิดของดาบซามูไร ดาบมีหลายแบบและหลายประเ ท แต่สามารถแบ่งชนิดหลักๆ ออกได้ ๓ ชนิดดังนี้ -ดาบยาว (Long Sword) ๑. "ตาชิ" (Tachi) ดาบยาวของทหารม้า มีความโค้งของใบดาบมาก ใช้ฟันจากหลังม้า มีความยาวของใบดาบมากกว่า ๗๐ เซนติเมตร ๒. "คาตานะ" (Katana) ดาบที่มาแทนที่ดาบตาชิของทหารม้า ตั้งแต่กลางสมัยมุโรมาชิ (ราว พ.ศ. ๒๐๐๐) สามารถใช้ต่อสู้บนพื้นดินได้คล่องตัวกว่า เพราะมีความโค้งน้อยควบคุมได้ง่าย ความยาวใบดาบโดยประมาณ ๖๐.๖ เซนติเมตรขึ้นไปถึง ๗๐ เซนติเมตร -ดาบขนาดกลาง (Medium Sword) "วากิซาชิ" (Wakizashi) ดาบที่ใช้พกพาคู่กับดาบคาตานะของซามูไร ใบดาบมีความยาวตั้งแต่ ๑๒ นิ้วถึง ๒๔ นิ้ว ดาบที่ซามูไรใช้สำหรับทำ "เซปปุกุ" เมื่อยามจำเป็น และเป็นดาบที่ซามูไรสามารถนำติดตัวเข้าเคหสถานของผู้อื่นกรณีเป็นผู้มาเยือนได้โดยไม่ต้องฝากไว้กับคนรับใช้ ตามปกติซามูไรจะพกดาบสองเล่ม และโดยธรรมเนียมห้ามพกดาบยาวเข้ามาในบ้านของผู้อื่น ต้องฝากไว้หน้าบ้านเท่านั้น -ดาบขนาดสั้น (Short Sword) ๑. "ตันโตะ" (Tanto) มีลักษณะคล้ายมีดสั้น ความยาวน้อยกว่าดาบวากิซาชิ ๒. "ไอกุชิ" (Aikuchi) คล้ายมีดไม่มีที่กั้นมือ ใช้สำหรับพกในเสื้อ เหมาะกับสตรี ดังที่กล่าวปกติ ซามูไรจะพก แค่สองดาบเท่านัน(สั้นและกลาง) ทำไมถึงต้องพก สองดาบ ตามปกติแล้ว ดาบยาว มักจะเป็นดาบ ประจำตำแหน่ง ที่ได้แล้ว และดาบสั้น(กลาง) คือ ดาบประจำตระกุล (อ้างอิงจากตระกุลกั๊กเอง) ตระกุลขุนนางชั้นสูง มักจะ สลักรูปลายประจำตระกูล หรือสัตว์์ต่างๆเอาไว้ในดาบสั้น(กลาง) ส่วนดาบยาว ไม่มีอะไรเลย นอกจากความคม ความงามของดาบซามูไร ตลอดทั้งตัวดาบหากสังเกต จะเห็นว่าดาบนั้นมีความงดงามมาก งามตามธรรมชาติทั้งๆ ที่ไม่มีเครื่องประดับใดๆ จุดเด่น คงอยู่ที่ลักษณะ ใบดาบที่โค้งได้รูป ถือเป็นการออกแบบ ที่สุดยอด ลวดลายน้ำบนใบดาบเรียกว่า "ฮามอน" ถูกประดิษฐ์ขึ้น มากว่าพันปีโดย "อามากุนิ" ไม่เป็นเพียงลวดลาย ที่งดงามอย่างเดียว แต่เป็นความลับ ของคมดาบด้วย ในส่วนของที่กั้นมือ เรียกว่า "Tsuba" (Handguard) มักทำจากเหล็ก ทองเหลือง ทองแดง หรือเงิน เป็นงานฝีมือ ชั้นเยี่ยม มีการทำลวดลายต่อเนื่อง ทั้งสองด้าน มาตั้งแต่โบราณ มีมากมาย หลายแบบ จนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (ยกเว้นของดาบทหารที่มีลวดลายเดียวเฉพาะเท่านั้น) ส่วนด้ามจับ ที่ทำด้วยไม้ หุ้มทับ ด้วยหนังปลากระเบน และผ้าไหม พับเว้นช่อง เป็นรูปข้าวหลามตัด คือเอกลักษณ์ของดาบ ที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เรื่องราวของดาบละเอียดอ่อนมาก ในญี่ปุ่น โบราณจะแบ่งชนชั้น คราวๆได้ ชาวนา ซามูไร ขุนนาง (ส่วนมากซามูไรกับขุนนาจะเป็นชนชั้นเดียวกัน) คราวๆน่ะไม่ได้เจาะจง ซามูไรยึดมั่นในศักดิ์ศรีมากดังเช่นหนังบางเรื่อง เช่น Last Samurai การทำเซปปุกุ หรือฮาราคิลี(การคว้าท้องแล้วให้คนอื่นตัดหัวเพื่อไม่ทรมาน) ถือเป็นความสูงสุดของซามูไร ในหนังเรื่อง คิล บิล าค1จะเห็นได้ว่า ฟันกันเลือดสาดกระจาย เรื่องจริงนั้นเป็นจริงหรือไม่? จริงค่ะ ว่ากันว่าดาบซามูไรสามารถฟันเกราะ เหล็กของโนบุนากะทีทำมาเพื่อป้องกันกระสุนปืน ให้ขาดได้ (แล้วแขนขาคนจะเหลือไหมอ่ะ) ส่วนเลือดนั้นมีเพียง70%เท่านั้นเพราะ คนเรามีแรงดันเลือดอยู่แล้ว(อันนี้น่าจะเข้าใจกันดีอ่ะจ๊ะเช่นโดนเข็มทิ่มนิ้วเลือดออกป่าวอ่ะ) การใช้ดาบซามูไรนั้นมีอยู่หลายวิธีแล้วแต่สำนักและวิชา แต่วิชาดาบส่วนมากที่ใช้กับดาบซามูไร จะมีอยู่ไม่กี่วิชา เช่น อิไอ อิไอ เป็นการ ซักดาบในดาบเดียว (ซักดาบด้วยความเร็วสูง) หนังที่เห็นในหนัง คน สองคน .. วิ่งผ่านกัน... ซักดาบ... เก็บดาบ.. อีกฝ่ายตาย อันนี้ไม่เวอร์เกินความจริง นักดาบที่เก่งๆในสมัยก่อนนั่น สามารถสังหาร อีกฝ่ายด้วยการซักดาบเพียงครั้งเดียว โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทราบว่าซักดาบไปแล้วด้วยซ้ำ(ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้วว่างั้นเหอะ)ในหนัง ที่สิบคนลุมพระเอกคนเดียว พอพระเอกซักดาบทุกอย่างก้หยุดนิ่ง พอพระเอกเก็บดาบ พวกนั้นถึงตาย มีความจริงอยู่ 60% การที่เก็บดาบแล้วตายนั่นไม่ใช่เพราะแอ๊กน่ะ เหมือนกับว่าเป็นสัญญาญหือแรงส่งอะไรซักอย่างให้ ผู้ถูกฟันนั้นรู้ว่าเอ็งอ่ะตายแล้ว ในอดีตผู้ที่ทำได้มีเยอะมาก เช่น ซาซากิ โคอิจิโร่ มุซาชิ เรียวมะ(ถึงแม้จะไม่เคยฆ่าใครก้เถอะแต่ถือว่าเป็นผู้มีฝีมือในเชิงดาบชั้นสูงเช่นกัน) และอีกหลายๆท่าน ปัจจุบัน ผู้ทีทำได้ ขนาดนี้ มีน้อยนับคนได้แล้ว

จำนวนผู้เข้าใช้งาน
ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2549

thaigoodview.com Version 13.0
บริหารและจัดการโดยทีมงานชาวมัธยมศึกษาและประถมศึกษา
e-mail: webmaster@thaigoodview.com