Grammar

user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:c7414e8cef1707766201df3ceb473ab0' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '\n \n\n\n\n\n\n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"301\" width=\"200\" src=\"/files/u30551/11_copy.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n\n\n\nไวยากรณ์ (Grammar) \n ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้\n จริงแล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ) อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบ\n การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีกด้วย\n\n\n \n\n\n \n\n\nที่มา : <a href=\"http://www.english2days.com/article1.asp\" title=\"http://www.english2days.com/article1.asp\">http://www.english2days.com/article1.asp</a>,\n\n\n<a href=\"http://www.flagssomjai.com/home.gif\" title=\"http://www.flagssomjai.com/home.gif\">http://www.flagssomjai.com/home.gif</a>,\n\n\n<a href=\"http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg\" title=\"http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg\">http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg</a>\n\n\n\n\n\n\n\n\n<a href=\"/node/74247\"><img height=\"100\" width=\"100\" src=\"/files/u30551/home2.jpg\" border=\"0\" /></a> \n\n<hr id=\"null\" />\n\n<a href=\"/node/67190\"><img height=\"147\" width=\"200\" src=\"/files/u30551/house_copy.jpg\" border=\"0\" /></a><a href=\"/node/74247\"> </a><a href=\"/node/74007\"><img height=\"328\" width=\"329\" src=\"/files/u30551/start-button.png\" border=\"0\" style=\"width: 142px; height: 147px\" /></a><a href=\"/node/74247\"></a><a href=\"/node/74247\"> </a><a href=\"/node/77146\"><img height=\"300\" width=\"229\" src=\"/files/u30551/2.png\" border=\"0\" style=\"width: 125px; height: 157px\" /></a><a href=\"/node/74247\"> </a>\n\n\n\n\n<o:p></o:p>\n \n\n \n\n\n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"301\" width=\"200\" src=\"/files/u30551/11_copy.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n\n\nการเขียน (Writing)\n คราวนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากขึ้นมานิดนึง เพราะเป็นการผสมผสานในทุกด้านที่กล่าวมา คือ รู้ศัพท์ ทราบไวยากรณ์ และเคยเห็นรูปแบบการเขียนมาจากสิ่งที่ได้เคยอ่านมา แล้วนำมาจรดปากกาหรือพิมพ์ลงไป ให้ข้อคิดสั้นๆ ง่ายๆ คือ ขอให้ท่านเขียนให้อยู่ในรูปนี้ให้ได้ นั่นคือ<o:p></o:p> ประธาน (Subject) + กริยา (Verb) + กรรม (Object) <o:p></o:p>\n สิ่งที่ต้องทราบก็คือ ประเภทของศัพท์ว่าเป็นคำนาม (Noun) คำสรรพนาม (Pronoun) คำกริยา (Verb) คำคุณศัพท์ (Adjective) คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) คำบุพบท (Preposition) คำสันธาน (Conjunction) ตลอดจนต้องทราบหน้าที่ของคำแต่ละประเภทและตำแหน่งการวางในประโยค เพื่อที่จะเขียนลงไปให้ถูกต้อง ที่สำคัญคืออาจจะไม่ต้องเขียนประโยคยาวๆ ก็ได้ โดยการเขียนที่ดีต้องมีความกะทัดรัด และได้ใจความ หากจะเชื่อมคำ ก็ต้องศึกษาว่าเชื่อมอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น and, or หรือ จะเชื่อมประโยค แบบใช้ wh เช่น who, where, when ซึ่งต้องแม่นในไวยากรณ์นั่นเอง \n อาจารย์ภาษาอังกฤษเคยแนะนำการเขียนง่ายๆ โดยให้เขียนประวัติของเราเอง ซึ่งสามารถท่องไปใช้เพื่อไว้แนะนำตัวเราเวลาสมัครงาน หรือแนะนำตัวเราทั่วไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เราเข้าใจว่าเราเป็นใคร เคยเรียนอะไรมา ทำงานอะไร ชอบทำอะไร หรือบางครั้งลองเขียนไดอารี่ทุกวัน อันจะทำให้เราสามารถเรียบเรียงเหตุการณ์ก่อนหลังที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นประจำวัน (ต้องอาศัยเรื่อง Tense นั่นเองในไวยากรณ์นั่นเอง) หรือบางครั้งอาจจะเขียนอะไรก็ได้ที่เราชอบ เช่นเรื่องราวทั่วไป ความรู้ ประสบการณ์ หรือ อาจจะเขียนเป็นนิยายเลยก็ได้ เผื่อบางทีนิยายของคุณอาจจะได้รับการอ่านไปทั่วโลก และติดตลาดทั่วโลก ซึ่งคุณอาจจะดังเหมือนกับคุณ J.K. Rowling ที่เขียน Harry Potter หรือ หรืออาจดูได้จากท่านปองพล อดิเรกสาร (Paul Adirex) ซึ่งได้เขียนนวนิยายภาษาอังกฤษเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นที่กล่าวถึงเช่นกัน ได้แก่เรื่อง The Pirates of Tarutao (โจรสลัดแห่งตะรุเตา) Until the Karma Ends (ตราบจนสิ้นกรรม) Mekong (แม่โขง) ลองไปอ่านดูได้ เพราะท่านอดิเรกเขียนด้วยภาษาที่สละสลวย อ่านง่าย กลับมาเรื่องการเขียนเราต่อดีกว่า โดยในการเขียนแรกๆ อาจจะศึกษาลักษณะการเขียนบทความแล้วลองมาประยุกต์กับการเขียนของเราได้ \n การเขียนที่สำคัญเราต้องมีความแม่นยำในไวยากรณ์ที่จะต้องนำมาใช้ในการเขียน ขอยกตัวอย่างเช่น เรื่อง Subject and Verb Agreement ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่คำกริยาต้องมีการผันตามประธาน หรือ เรื่อง Tense ซึ่งมีความสำคัญมากในการเขียนลำดับของเหตุการณ์ Tense สำคัญจริงๆ โดยปกติแล้วภาษาอังกฤษจะใช้การผันกริยาเป็นสิ่งกำหนดลำดับเหตุการณ์\n ซึ่งแตกต่างกับภาษาไทยตรงที่ภาษาไทยมิได้ผันกริยาใดๆ แต่อาศัยการขยายความ ขอยกตัวอย่างให้ศึกษาเปรียบเทียบ โดยเริ่มจากภาษาไทย \nฉันกินข้าว -> จะเห็นว่าเป็นการกล่าวโดยทั่วไป แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดเมื่อใด แต่อาจคาดการณ์ได้ว่าเกิดในปัจจุบัน \nฉันกินข้าวเมื่อวาน -> จะเห็นว่ามีคำว่า "เมื่อวาน" มากำหนดเวลาที่เกิดขึ้น \nฉันจะกินข้าวพรุ่งนี้ -> จะเห็นว่ามีคำว่า "จะ" และ "พรุ่งนี้" มาช่วยกำหนดเวลาที่จะเกิดขึ้น \n จะเห็นได้ว่าคำกริยาของประโยคทั้งสาม คือ "กิน" ไม่ได้เปลี่ยนรูปแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นรูปปัจจุบัน (Present) ในประโยคแรก รูปอดีต (Past) ในประโยคที่สอง และรูปอนาคต (Future) ในประโยคที่สาม คราวนี้ลองมาศึกษาในภาษาอังกฤษบ้าง \nI eat rice (today). -> รูปปัจจุบัน \nI ate rice (yesterday). -> รูปอดีต \nI will eat rice (tomorrow). -> รูปอนาคต \n ในภาษาอังกฤษนั้น คำกริยาจะเปลี่ยนรูป จาก eat ในรูปปัจจุบัน กลายเป็น ate ในรูปอดีต และมีการเพิ่ม will ซึ่งเป็นคำกริยาช่วยเมื่อเป็นรูปอนาคต เพราะฉะนั้นหากจะดูว่าเหตุการณ์การทานข้าวนี้เกิดเมื่อใดก็ให้ดูที่ทำกริยาที่ผันตาม Tense ซึ่งอาจจะมีคำขยาย today หรือ yesterday หรือ tomorrow หรือไม่ก็ได้ แต่ถ้ามีก็จะทำให้ประโยคมีความสวยงามและกระจ่างชัดมากขึ้น คำขยายดังกล่าวคือคำกริยาวิเศษณ์หรือ Adverb of Time นั่นเอง\n ขอเน้นเรื่อง Tense อีกนิด เคยคุยกับบางท่านในเรื่องภาษาพูดว่า (ขอออกนอกเรื่อง ) "พูด พูด ไปเถอะ ฝรั่งเค้าพยายามเข้าใจเราเอง" เช่น เราพูดว่า \nI eat rice today. \nI eat rice yesterday. \nI eat rice tomorrow. \n คาดว่าท่านเข้าใจแน่นอนว่ามีการทานข้าวในปัจจุบันในประโยคแรก ทานข้าวเมื่อวานในประโยคที่สอง และทานข้าวพรุ่งนี้ในประโยคสุดท้าย ที่เข้าใจก็เพราะว่าคำขยาย today, yesterday และ tomorrow เป็นตัวกำหนดอยู่ แต่ความจริงแล้ว นี่เป็นการพูดแบบภาษาไทย ซึ่งไม่ถูกตามหลักไวยากรณ์อังกฤษ เลยอยากให้ท่านเห็นความสำคัญในการศึกษา Tense \n ลองคิดว่าหากท่านไปพูดประโยคทั้งสามให้เจ้านายท่านฟัง คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลองคิดดู ยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่ควรจะศึกษาในไวยากรณ์ที่จะมาช่วยในการเขียนเราดีขึ้น \n กลับมาเรื่องเขียนอีกครั้งเมื่อเขียนได้คล่องระดับหนึ่งแล้ว ลองเขียนแบบ Advance เพื่อให้ภาษาเราดูสูงขึ้นมานิดนึง ซึ่งอยู่ในเรื่องของ Compound Sentence และ Complex Sentence โดย จะลองเขียนอะไรสักนิดให้เป็นตัวอย่าง \nMr. Smith has the big house near Lumpini Park. \nMr. Smith drives his car to Central Plaza. \n จริงแล้วเขียนแค่นี้ก็ได้ใจความแล้วว่านายสมิธมีบ้านหลังใหญ่อยู่ใกล้สวนลุมพินี และอีกประโยคคือนายสมิธขับรถไปเซ็นทรัลพลาซ่า แต่อาจจะธรรมดาไป ในภาษาเขียนไม่นิยมเขียนคำซ้ำ เช่น Mr. Smith ดังนั้นจึงมีการเชื่อมประโยค โดย จะเชื่อม ด้วย and ก่อน \nMr. Smith has the big house near Lumpini Park and he drives his car to Central Plaza sometimes. \n คำแปลก็ยังเหมือนเดิม แต่มีคำว่า he แทน Mr. Smith การเชื่อมแบบนี้ทำให้น้ำหนักของทั้งสองประโยคเท่ากันอยู่ในลักษณะ Compound Sentence คราวนี้ ลองเชื่อมแบบใช้ who (แทนตัวบุคคล) ซึ่งทำให้น้ำหนักประโยคไม่เท่ากัน โดยประโยคแรกจะเป็นประโยคหลัก ประโยคต่อมาจะเป็นประโยครอง \nMr. Smith who drives his car to Central Plaza has the big house near Lumpini Park.\n สามารถแปลได้ว่านายสมิธคนที่ขับรถไปเซ็นทรัลพลาซ่ามีบ้านใกล้สวนลุมพินี \nจะเห็นว่าน้ำหนักของประโยคที่สองเป็นแค่การขยายนายสมิธนั่นเองซึ่งเป็นการรวมประโยคแบบ Complex Sentence ต่อไป ลอง modify ประโยคให้ดูเก๋ขึ้นอีกระดับ \nMr. Smith driving his car to Central Plaza sometimes has the big house near Lumpini Park. \n ด้วยการละ who แล้วเปลี่ยนกริยาให้เป็น Verb ing ตามรูปแบบ Active Voice เท่านี้ก็เห็นว่ารูปแบบดูดีขึ้นมาก เพราะคนอ่านจะรู้ทันที่ว่าคุณเขียนแบบมีสไตล์มากขึ้น(ข้อสอบชอบออก รูปนี้ เพราะจะทำให้เราสับสนว่าคำกริยาแท้คือคำไหนกันแน่ คำตอบ คือ has) \nDriving his car to Central Plaza sometimes, Mr. Smith has the big house near Lumpini Park. \nโหดมากสำหรับผู้อ่านที่ไม่ทราบที่มาที่ไป\n เพียงแค่เอาประโยคที่เป็นส่วนขยายขึ้นมาไว้หน้าประโยคเลยเพื่อจะเน้นเรื่องการขับรถไปเซ็นทรัล แต่ว่าเมื่อพิจารณาแล้วจะงงเพราะใครเป็นประธานหละ อยู่ๆ ก็ขึ้นมาคำกริยาเติม ing เลย ซึ่งถ้าเราเข้าใจว่ามันเกิดจากการ Modify มาเป็นขั้นเป็นตอน เราก็จะไม่งงนั่นเอง ซึ่งการเขียนแบบนี้เราจะเห็นได้บ่อยในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือถ้าคุณเขียนได้ถึงขั้นนี้ รับรองคนอ่านที่เข้าใจจะรู้ว่าคนเขียนเจ๋งมาก กล้าเขียนแบบนี้ ลองเจ๋งดู \n สำหรับคนที่เขียนวิทยานิพนธ์ เอกสารวิจัย บทความทางวิชาการ รู้ว่าตอนนี้พวกท่านกำลังใช้สมองอย่างหนักในการสร้างสรรค์วิชาการ ท่านต้องใช้ความรู้สองอย่างพร้อมๆ กัน คือ วิชาการที่ท่านกำลังจะเขียน และ รูปแบบภาษาอังกฤษ เอาใจช่วย เพราะท่านกำลังเขียนภาษาอังกฤษให้ถูกรูปแบบและตามหลักไวยากรณ์ที่แท้จริง มิฉะนั้นแล้วผู้อ่านอาจจะเข้าใจในสิ่งที่คุณเขียนผิดไป \n หลักการเขียนหลักก็มีแค่นี้ อยากให้ทุกท่านที่ได้อ่านมีกำลังใจที่จะไปศึกษารูปแบบการเขียนเพื่อนำมาเขียนภาษาอังกฤษให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ รู้ว่ามันยากหากไม่ได้รักการฝึกฝนในการเขียน แต่ขอให้ลองดู ลองพกสมุดเล็กๆ แล้วเขียนอะไรไปเล่นๆ แล้วพิจารณาความถูกต้อง ไม่นานท่านก็จะเก่งอย่างที่ท่านไม่รู้ตัวเลย<o:p></o:p> \n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\nที่มา : <a href=\"http://www.english2days.com/articles4.asp\" title=\"http://www.english2days.com/articles4.asp\">http://www.english2days.com/articles4.asp</a>,\n\n\n<a href=\"http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg\" title=\"http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg\">http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg</a>,\n\n\nhttp://www.flagssomjai.com/home.gif \n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"100\" width=\"100\" src=\"/files/u30551/home2.jpg\" border=\"0\" /> \n<hr id=\"null\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<a href=\"/node/67190\"><img height=\"147\" width=\"200\" src=\"/files/u30551/house_copy.jpg\" border=\"0\" /></a><a href=\"/node/74247\"> </a><a href=\"/node/74007\"><img height=\"328\" width=\"329\" src=\"/files/u30551/start-button.png\" border=\"0\" style=\"width: 142px; height: 147px\" /></a><a href=\"/node/74247\"></a><a href=\"/node/74247\"> </a><a href=\"/node/77146\"><img height=\"300\" width=\"229\" src=\"/files/u30551/2.png\" border=\"0\" style=\"width: 125px; height: 157px\" /></a><a href=\"/node/74247\"> </a>\n</div>\n\n \n\n\n \n\n\n\n \n\n\n \n\n\n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"301\" width=\"200\" src=\"/files/u30551/11_copy.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n\n\nTENSES\n<o:p></o:p> ได้รับคำถามผ่านทางอีเมล์หลายฉบับ มีเรื่องซ้ำๆ อยู่เรื่องหนึ่งที่ ว่าน่าสนใจในการนำมา \nเรียบเรียง นั่นคือ เรื่อง Tense หรือ กาลเวลา (คือการบอกเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น) ดังนั้น \n ขอตั้งชื่อเรื่องว่า “Tense อีกแล้ว ท่าน” \nการบอก Tense ในภาษาอังกฤษ จะใช้ส่วนการกระทำ หรือ Verb เป็นตัวควบคุม Tense โดย \nอาศัยกริยา 3 ช่องที่พวกเราคนไทยท่องจำกันแม่นมากมาตั้งแต่เด็กๆ และถ้าหากมีคำวิเศษณ์ \n(Adverb) มาประกอบในประโยค ย่อมจะทำให้การทำความเข้าใจ ในประโยคง่ายขึ้น \nลองดูประโยคตัวอย่าง\nHe comes to school. (รูปปัจจุบัน หรือ Present) \nHe came to school. (รูปอดีต หรือ Past) \nHe will come to school. (รูปอนาคต หรือ Future)\nจากตัวอย่างทั้งสามจะเห็นว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน อดีต หรือ อนาคต นั้น ขึ้นกับ \nการผันของคำกริยาเท่านั้น คือ comes แสดงถึงความเป็นปัจจุบัน (Present) สำหรับ came \n(คำกริยาช่อง 2 ของ come) แสดงถึงรูปอดีต (Past) และรูปอนาคต จะใช้อยู่ในรูป will + come \nซึ่งเท่านั้นภาษาอังกฤษก็จะสมบูรณ์ในการบอกเหตุการณ์ว่าเกิดขึ้นในเวลาที่ต่างกัน \nในกรณีที่มีคำวิเศษณ์ (Adverb) ประกอบ ย่อมจะทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เช่น \nHe comes to school today. (today = วันนี้) \nHe came to school yesterday. (yesterday = เมื่อว่าน) \nHe will come to school tomorrow. (tomorrow = พรุ่งนี้) \nเมื่อเปรียบเทียบกับภาษาไทยแล้ว ภาษาไทยจะไม่มีการผันคำกริยาเพื่อบอก Tense \nแต่จะใช้คำประกอบเพื่อกำหนดเวลาที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น \nฉันไปโรงเรียนวันนี้ \nฉันไปโรงเรียนเมื่อวาน \nฉันไปโรงเรียนพรุ่งนี้ \nเห็นได้ว่าไม่ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไร ประโยคหลักจะเหมือนกันทุกประโยคคือ “ฉันไปโรงเรียน” \nแต่จะใช้คำประกอบคือ “วันนี้”, “เมื่อวาน”, “พรุ่งนี้” เป็นตัวกำหนดและจะไม่มีการผันกริยา “ไป” \nเหมือนกับภาษาอังกฤษ\nดังนั้นในการศึกษาเรื่อง Tense จะต้องศึกษาถึง \n1. คำกริยาทั้ง 3 ช่อง \n2. การเรียกชื่อทั้ง 12 Tenses \n3. โครงสร้างของแต่ละ Tense \n4. ความหมายและการใช้ในแต่ละ Tense \n1. คำกริยา 3 ช่อง \nคำกริยาโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น \n1.1 คำกริยาปกติ (Regular Verb) คือ คำกริยาที่เติม ed เมื่อทำการผัน \nเป็นช่องที่ 2 (Past Simple) และ ช่องที่ 3 (Past Participle) เช่น \nplay played played \ncall called called\n1.2 คำกริยาไม่ปกติ (Irregular Verb) คือ คำกริยาที่เปลี่ยนรูป เมื่อทำการผันเป็นช่องที่ 2 และช่องที่ 3 \neat ate eaten \nfall fell fallen \n1.3 คำกริยารูปเหมือนกันทั้ง 3 ช่อง ไม่ว่าจะเป็นช่อง 2 และ ช่อง 3\ncut cut cut \nput put put \n2. การเรียกชื่อทั้ง 12 Tenses \nปัญหาต่อมาคือทำอย่างไรที่จะจำชื่อ Tense ทั้ง 12 Tenses ได้ จริงๆ แล้วไม่ยาก \nลองพิจารณาตรงประเด็นของ Tense หลักโดยทั่วไปมี 3 Tenses คือ \n2.1 Present \n2.2 Past \n2.3 Future \nซึ่งในแต่ละ Tense หลัก สามารถแตกออกเป็น 4 Tenses ย่อยคือ \n- Simple \n- Continuous \n- Perfect \n- Perfect Continuous (นำ Perfect + Continuous) \nดังนั้นให้นำ 4 Tenses หลักมาประกอบกับ Tense ย่อย จะทำให้เกิด Tense ที่ต้องการศึกษา ซึ่งพิจารณาจาก \nหัวข้อ 2.1 Present เมื่อประกอบกับ Tense ย่อยจะกลายเป็น \n2.1.1 Present Simple \n2.1.2 Present Continuous \n2.1.3 Present Perfect Tense \n2.1.4 Present Perfect Continuous Tense \nจะเห็นว่าการจำ 4 Tenses แรกอยู่ในส่วนของ Present ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป \nเช่นเดียวกันหากนำ 4 Tenses ย่อย มาประกอบกับหัวข้อ 2.2 Past จะได้ 2.2.1 Past Simple \n2.2.2 Past Continuous \n2.2.3 Past Perfect Tense \n2.2.4 Past Perfect Continuous Tense \nสุดท้ายสำหรับหัวข้อ 2.3 Future ให้เติม Tense ย่อย เช่นเดียวกัน จะได้\n2.3.1 Future Simple \n2.3.2 Future Continuous \n2.3.3 Future Perfect Tense \n2.3.4 Future Perfect Continuous Tense \nดังนั้นสามารถสรุปทั้ง 12 Tenses ได้คือ <o:p></o:p>\n\n \n\n<table width=\"100%\" cellPadding=\"0\" border=\"0\" class=\"MsoNormalTable\" style=\"width: 100%\">\n<tbody>\n<tr>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\">PAST<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\">PRESENT<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\">FUTURE<o:p></o:p> </td>\n</tr>\n<tr>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Past Simple<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Present Simple<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Future Simple<o:p></o:p> </td>\n</tr>\n<tr>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Past Continuous<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Present Continuous<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Future Continuous<o:p></o:p> </td>\n</tr>\n<tr>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Past Perfect<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Present Perfect<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Future Perfect<o:p></o:p> </td>\n</tr>\n<tr>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Past Perfect Continuous<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Present Perfect Continuous<o:p></o:p> </td>\n<td style=\"background-color: transparent; border: #ece9d8 1pt inset; padding: 0.75pt\"> Future Perfect Continuous<o:p></o:p> </td>\n</tr>\n</tbody>\n</table>\n\n \n\n\n \n\n\n>>~ทางลัด~<<\n\n\n\nสู่ทั้ง 12 TENSES\n\n\n\n\n<a href=\"/node/76003\"></a>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"300\" width=\"242\" src=\"/files/u30551/tense.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n\n<hr id=\"null\" />\n\n<a href=\"/node/67190\"><img height=\"147\" width=\"200\" src=\"/files/u30551/house_copy.jpg\" border=\"0\" /></a><a href=\"/node/74247\"> </a><a href=\"/node/74007\"><img height=\"328\" width=\"329\" src=\"/files/u30551/start-button.png\" border=\"0\" style=\"width: 142px; height: 147px\" /></a><a href=\"/node/74247\"></a><a href=\"/node/74247\"> </a><a href=\"/node/77146\"><img height=\"300\" width=\"229\" src=\"/files/u30551/2.png\" border=\"0\" style=\"width: 125px; height: 157px\" /></a><a href=\"/node/74247\"> </a>\n\n\n<a href=\"/node/74247\"> </a> \n\n<o:p> </o:p><o:p> </o:p>\n\n \n\n<o:p></o:p>\n\n \n\n\nที่มา : <a href=\"http://www.english2days.com/article9Tense1.asp\" title=\"http://www.english2days.com/article9Tense1.asp\">http://www.english2days.com/article9Tense1.asp</a>,\n\n\n<a href=\"http://photo.playpark.com/201001/29/23463_1264790032LJtJ.jpg\" title=\"http://photo.playpark.com/201001/29/23463_1264790032LJtJ.jpg\">http://photo.playpark.com/201001/29/23463_1264790032LJtJ.jpg</a>,\n\n\n<a href=\"http://www.flagssomjai.com/home.gif\" title=\"http://www.flagssomjai.com/home.gif\">http://www.flagssomjai.com/home.gif</a>,\n\n\n<a href=\"http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg\" title=\"http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg\">http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg</a>\n\n\n \n\n\n \n\n\n<a href=\"/node/74247\"></a>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"100\" width=\"100\" src=\"/files/u30551/home2.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n\n\n\n \n\n<hr id=\"null\" />\n\n \n\n', created = 1727464975, expire = 1727551375, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:c7414e8cef1707766201df3ceb473ab0' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:70739ce63ea96cd4808db8151960bd93' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '\n \n\n\n\n\n\n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"301\" width=\"200\" src=\"/files/u30551/11_copy.jpg\" border=\"0\" />\n</div>\n\n\n\nไวยากรณ์ (Grammar) \n ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้\n จริงแล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ) อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบ\n การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีกด้วย\n\n\n \n\n\n \n\n\nที่มา : <a href=\"http://www.english2days.com/article1.asp\" title=\"http://www.english2days.com/article1.asp\">http://www.english2days.com/article1.asp</a>,\n\n\n<a href=\"http://www.flagssomjai.com/home.gif\" title=\"http://www.flagssomjai.com/home.gif\">http://www.flagssomjai.com/home.gif</a>,\n\n\n<a href=\"http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg\" title=\"http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg\">http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg</a>\n\n\n\n\n\n\n\n\n<a href=\"/node/74247\"><img height=\"100\" width=\"100\" src=\"/files/u30551/home2.jpg\" border=\"0\" /></a> \n\n<hr id=\"null\" />\n\n<a href=\"/node/67190\"><img height=\"147\" width=\"200\" src=\"/files/u30551/house_copy.jpg\" border=\"0\" /></a><a href=\"/node/74247\"> </a><a href=\"/node/74007\"><img height=\"328\" width=\"329\" src=\"/files/u30551/start-button.png\" border=\"0\" style=\"width: 142px; height: 147px\" /></a><a href=\"/node/74247\"></a><a href=\"/node/74247\"> </a><a href=\"/node/77146\"><img height=\"300\" width=\"229\" src=\"/files/u30551/2.png\" border=\"0\" style=\"width: 125px; height: 157px\" /></a><a href=\"/node/74247\"> </a>\n\n\n\n\n<o:p></o:p>\n', created = 1727464975, expire = 1727551375, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:70739ce63ea96cd4808db8151960bd93' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

เมื่อ อังคาร, 24/08/2010 - 22:29 | แก้ไขล่าสุด ศุกร์, 17/09/2010 - 22:47| โดย

sss27451

ไวยากรณ์ (Grammar)
ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

จริงแล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ) อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบ

การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีกด้วย

ที่มา : http://www.english2days.com/article1.asp,

http://www.flagssomjai.com/home.gif,

http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg

แหล่งอ้างอิง:

http://i49.photobucket.com/albums/f290/thunchanoks/11copy.jpg,http://photo.playpark.com/201001/29/23463_1264790032LJtJ.jpg,http://www.flagssomjai.com/home.gif,http://www.english2days.com/article9Tense1.asp

sss27451's blog |

ล็อกอิน เพื่อแสดงความคิดเห็น |

อ่าน 7802 ครั้ง

Thaigoodview

ของขวัญ ของที่ระลึก Miori Jung Handmade

ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ
ไม่ถูกปิดเสียก่อน
ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558
มีผลบังคับใช้แล้ว
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

โรงเรียนเครือข่ายจัดกิจกรรม บล็อก(Blog) เครื่องมือสำหรับครูยุคใหม่ เพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้

เปลี่ยนชื่อผู้ใช้งาน/เพิ่มพื้นที่เก็บภาพ

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 367 คน กำลังออนไลน์

Copyright © 2000-2024 thaigoodview.com | ออกแบบและพัฒนาระบบโดย ไทยกู๊ดวิวดอทคอม
สงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-Noncommercial-Share Alike 3.0 Unported License.
ท่านสามารถนำเนื้อหาไปใช้ แสดง ดัดแปลง เผยแพร่ โดยต้องอ้างอิงที่มา ห้ามใช้เพื่อการค้า และต้องใช้สัญญาอนุญาตชนิดเดียวกันนี้ไปกับงานดัดแปลงต่อยอดที่เผยเผยแพร่ต่อ

Grammar

นำทาง

สมาชิกที่ออนไลน์