ภาษาเกาหลี
.
.
.
............เกาหลีในสมัยโบราณ รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากจีนมากมาย เช่นอักษรที่จารึก เกาหลีไม่เคยมีอักษรที่ เป็นของตัวเอง จึงต้องใช้อักษรฮั่นของจีน คนธรรมดากว่าจะเรียนรู้ได้ต้องใช้เวลาหลายปี แต่ชนชั้นสูงมีทั้งเวลาและเงินทองย่อมเรียนรู้ได้ง่าย ส่วนผู้หญิง อย่าหวังได้ศึกษาเด็ดขาด
............จนถึงรัชกาลพระเจ้า "เซ จง" ในปี 1397 มีรับสั่งให้ประดิษฐ์พยัญชนะเกาหลี 24 ตัวอักษรขึ้น เพื่อง่ายต่อการเรียนรู้ ทำให้ชาวบ้านทั่วไปมีโอกาสศึกษาเล่าเรียน สมัยนั้นชนชั้นสูงและเหล่าบัณฑิต ต่างมองว่าภาษาเกาหลีเป็นภาษาที่ต่ำต้อย จึงไม่ยอมใช้ จนถึงศตวรรษที่ 20 จึงได้ยอมรับอย่างเป็นทางการ
............เสียงภาษาเกาหลีใช้หลักการผสมใกล้เคียงกับภาษาไทย โดยมีอักษรต้น เสียงสระและตัวสะกด โดยแต่ละคำจะประกอบด้วยตัวอักษรสองตัว (คำที่ไม่มีตัวสะกด) และตัวอักษรสามตัว (คำที่มีตัวสะกด)
* พยัญชนะ ประกอบด้วย ㄱ ㄲ ㄴ ㄷ ㄸ ㄹ ㅁ ㅂ ㅃ ㅅ ㅆ ㅇ ㅈ ㅉ ㅊ ㅋ ㅌ ㅍ ㅎ
* สระ ประกอบด้วย ㅏ ㅐ ㅑ ㅒ ㅓ ㅔ ㅕ ㅖ ㅗ ㅘ ㅙ ㅚ ㅛ ㅜ ㅝ ㅞ ㅟ ㅠ ㅡ ㅢ ㅣ
.
.
*หมายเหตุ ตัว ㅇถ้าใช้เป็นพยัญชนะต้นจะเป็นเสียง "อ" แต่ถ้าเป็นตัวสะกดจะเป็นเสียง "ง"
*พยัญชนะเดี่ยวซ้ำ มีทั้งหมด 5 ตัว เป็นการนำพยัญชนะเดี่ยวมาเชียนซ้ำ
Key point 1 คำกริยาทุกคำประกอบด้วย 2 ส่วน คือ รากศัพท์ + คำลงท้าย เช่น
먹다 (กิน) = 먹+ 다 오다 (มา) = 오 + 다
가다 (ไป) = 가 + 다 보다 (ดู) = 보 + 다
........ใน ที่นี้ตัวสีแดงก็คือรากศัพท์ และสีน้ำเงินก็คือคำลงท้าย เวลานำกริยามาใช้ เราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปคำโดยการผันกริยา และเปลี่ยนรูปแบบของคำลงท้ายเพื่อแสดงถึง กาล(เวลา) มาลา(ประเภทของประโยค และวาจก (กรรม)
Key point 2 รูปแบบการผันกริยาแบบ ㅂ니다 โดยวางหลังรากศัพท์ที่ไม่มีตัวสะกด เช่น
보다 (ดู) è 뵵니다 [보+ㅂ니다] : 우리는 알카쟈쇼를 봅니다.พวกเราดูอาคาซาร์โชว์
우리는(พวกเรา) + 알카쟈쇼 (อาคาซาร์โชว์) + 를(ตัวชี้กรรม) + 봅니다(ดู).
가다 (ไป) è 갑니다 [가 + ㅂ니다] : 우리는 산호섬에 갑니다.พวกเราไปเกาะประการัง
우리는(พวกเรา) + 산호섬 (เกาะประการัง/เกาะล้าน) + 에 (ตัวชี้กรรมที่เป็นสถานที่) + 갑니다 (ไป).
Key point 3 รูปแบบการผันกริยาแบบ 습니다 โดยวางไว้หลังรากศัพท์ที่มีตัวสะกด เช่น 먹다 , 받다
먹다 (กิน) è 먹습니다 [먹+습니다] : 우리는 밥을먹습니다.พวกเรากินข้าว
우리는 + 밥 (ข้าว)+ 을(ตัวชี้กรรม) + 먹습니다(กิน).
받다 (รับ) è 받습니다[받+습니다]: 맛사지사는 팁을 받습니다.หมอนวดได้รับทิป
맛사지사는 / 안마사 (หมอนวด) + 팁(ทิป) + 을(ตัวชี้กรรม)+ 받습니다(รับ)
........Note : ㅂ니다 ใช้ทำเป็นประโยคบอกเล่าที่รากศัพท์ไม่มีตัวสะกด แต่ถ้ามีตัวสะกดจะใช้습니다
Key point 4 รูปแบบการผันกริยาแบบ ㅂ니까 โดยวางหลังรากศัพท์ที่ไม่มีตัวสะกด เช่น
이다 (เป็น/คือ) è 입니까 : 이것은 바지 입니까? นี่คือกางเกงใช่มั้ย
이것은(สิ่งนี้) + 바지(กางเกง) + 입니까 (คือ)? เวลาตอบก็คือ에,이것은바지입니다. หรือ
저것은 여권 입니까? สิ่งนั้นคือ passport ใช่มั้ย 에, 저것은여권입니다.
머무다 (พัก) : 머몹니다 è 머몹니까 : 저음(ครั้งแรก)방문(เยือน)입니까? มาพักครั้งแรกใช่มั้ย
เวลาตอบก็คือ 에, 저음방문머몹니다.ใช่ มาพักครั้งแรก
Key point 5 รูปแบบการผันกริยาแบบ 습니까 โดยจะวางหลังรากศัพท์ที่มีตัวสะกด เช่น
찍다 (ถ่ายรูป) è 찍습니까 : 사진을찍습니까? ถ่ายรูปมั้ย
먹다 (กิน) è 먹습니까 : 우리는 밥을먹습니까?.พวกเรากินข้าวมั้ย
보여주세요 : ขอดูหน่อย
........Note : ㅂ니까 ใช้ทำเป็นประโยคคำถามโดยวางหลังรากศัพท์ที่ไม่มีตัวสะกด ถ้ามีตัวสะกดจะใช้습니까