ปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัย
ปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ และความปลอดภัย
ปัจจัยเสี่ยง หมายถึง องค์ประกอบด้านกายภาพ สังคม หรือสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต หรือทรัพย์สิน พฤติกรรมเสี่ยง หมายถึง การกระทำของบุคคลที่อาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต หรือทรัพย์สิน ในปัจจุบันโลกมีความเจริญขึ้นแต่ความปลอดภัยกลับลดน้อยลง ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยเสี่ยงต่อพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพความปลอดภัยมากมายในที่นี้จะขอนำเสนอเพียงบางส่วนซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อชีวิตคนเรา
1. พฤติกรรมสุขภาพ เป็นการปฏิบัติตนที่มีผลต่อสุขภาพ หากปฏิบัติตนไม้เหมาะสมจะทำ
ให้สุขภาพเสื่อมลง เช่น การไม่ออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การใช้สารเสพติดการสำส่อนทางเพศ การพักผ่อนไม่เพียงพอ การไม่ระวังโรคติดต่อ เป็นต้น
2.การสัญจร โดยพาหนะทั้งที่เป็นรถยนต์รถจักรยานยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน เป็นต้น
ยิ่งมีการสัญจรเดินทางมากอุบัติเหตุก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
3.สิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันมีมลพิษมากมากทำให้สิ่งแวดล้อมแย่ลง ดังนั้น คนที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีขยะส่งกลิ่นเหม็น น้ำเน่า อากาศเป็นพิษ มีพวกมิจฉาชีพมากสารเสพติดแพร่ระบาดมาก ใกล้โรงอุตสาหกรรมสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดอันตารายต่อสุขภาพและชีวิตมากพอสมควร
4. การอุปโภค คือการใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆปัจจุบันมีเครื่องอุปโภคที่แฝงไว้ด้วยพิษภัย
หลายอย่าง เช่น เครื่องสำอาง เตาแก๊ส เครื่องใช่ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่รู้จักเลือกใช้หรือใช้ไม่ถูกต้องก็เป็นอันตรายได้เหมือนกัน
5.การบริโภค ปัจจุบันอาหาร การกิน มีสารพิษปนเปื้อนมากมาย เช่น ขนมผสมสีย้อมผ้า ปลาเค็มฉีดดีดีที ปลาสด แช่สารฟอร์มาลีน ผักมีสารพิษ สิ่งเหล่านี้ เข้าไปสะสมในร่างกายจนถึงระยะหนึ่งเมื่อ สะสมมากขึ้นจะทำไห้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติ โรคภัยไข้เจ็บจะเบียดเบียนทำให้ผู้บริโภคเกิดความไม่ปลอดภัย
6. อุบัติเหตุในบ้าน การใช้ชีวิตอยู่ในบ้านก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้เหมือนกัน
แนวปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดสารเสพติด
สาเหตุของการติดสารเสพติด โดยทั่วไปผู้ที่ติดสารเสพติดมักมีสาเหตุ
1.สภาพทางจิต ซึ่งได้แก่ ขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว มีจิตใจอ่อนแอ
ไม่หนักแน่น มีความคึกคะนอง อยากรู้อยากเห็น อยากลอง อยากอวดเพื่อน คิดว่าเป็นสิ่งที่โก้เก๋ก็มีหรือแสดงความเป็นชาย แต่ผู้หญิงบางคนก็เสพสารเสพติดเพราะคิดว่าโก้เก๋ก็มี
2. สภาพแวดล้อม ผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีผู้ใช้และผู้ขายสารเสพติดกันมาก มีเพื่อนฝูง
ที่ใช้สารเสพติด มีสิ่งยั่วยุ แหล่งบันเทิงเริงรมย์ ซึ่งเป็นแหล่งที่มักมีสารเสพติดใช้กัน
3.ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากขาดความรู้และประสบการณ์ อาจถูกเพื่อนหลอกให้เสพหรือไม่รู้ถึงพิษภัยว่าร้ายแรงเพียงใด หรือสารเสพติดบางอย่างเสพครั้งสองครั้งก็ติด
4.ความจำเป็นของร่างกาย ใช้เนื่องจากระงับความเจ็บปวด ลดความตึงเครียดทางประสาทหรือบางอาชีพต้องทำงานหนักเป็นเวลานาน จึงใช้สารเสพติดเพื่อให้ทำงานได้นาน
การออกฤทธิ์ของสารเสพติด
ฤทธิ์ของสารเสพติด แบ่งได้เป็น 4 แบบ ดังนี้
1. ออกฤทธิ์กดประสาท ( Depressant ) จะทำให้เกิดอาการมึนงง ง่วงซึม หมดแรง
หายใจช้าลง สารเสพติดที่ออกฤทธิ์กดประสาท ได้แก่ ยานอนหลับ เฮโรอีน มอร์ฟีน ฝิ่น เมธาโดน เซโคนัล บาร์บิทูเรต ฟีโนบาร์บิตาล โบรไมด์ พาราดีไฮด์
2. ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ( Stimulant ) จะทำให้ประสาทตื่นตัว กระวนกระวาย
ไม่ง่วงนอน แต่ถ้าหมดฤทธิ์ยาจะง่วงนอนทันที อาจทำให้หลับง่ายหรืออาจเกิดการหลับใน อาการ อื่นๆ เช่น ตัวสั่น เครียด เป็นต้น สารเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท ได้แก่ ใบกระท่อม ยาบ้า โคเคอีน
3. ออกฤทธิ์หลอนประสาท ( Hallucinogen ) จะทำให้ประสาทหลอน ประสาทสัมผัส
ทางตา หู จมูก ลิ้น การสัมผัสจะเปลี่ยนไปจากความเป็นจริง สารเสพติดที่ออกฤทธิ์หลอนประสาทได้แก่ กัญชา แอล.เอส.ดี ( Lysergic Acid Dicthylamide : L.S.D.) ดี.เอ็ม.ที (Dimethy Tryptamine : D.M.T.) กาว ทินเนอร์
4.ออกฤทธิ์ผสมผสานกัน ( Mixed ) จะออกฤทธิ์ทั้ง 2 แบบรวมกันหรือทั้ง 3 แบบรวมกัน
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สารเสพติดที่ออกฤทธิ์ผสมผสานกัน ได้แก่ กัญชา ถ้าเสพจำนวนน้อย
จะกดประสาทชั่วระยะหนึ่ง ต่อเมื่อเสพเพิ่มเข้าไปมากจะกลายเป็นพิษหลอนประสาทได้ สารระเหยเมื่อสูดดมในระยะแรกจะกระตุ้นประสารทต่อมาจะหลอนประสาท
วิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
สารเสพติดมีอันตรายต่อผู้ใช้หรือผู้เสพ ดังนั้น เราจึงต้องมีวิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
1.ครอบครัวที่อบอุ่นจะเป็นรั้วป้องกันสารเสพติดได้เป็นอย่างดี
2. ต้องมีใจคอหนักแน่น อาจมีเพื่อน ชักชวนให้เสพก็ต้องปฏิเสธอย่าไปเสพไม่ต้องเกรงใจเพื่อนในทางที่ผิด
3. อย่าลองเป็นอันขาด เพราะจะนำไปสู่การใช้สารเสพติดบ่อยครั้งจนเกิดการติดได้ สารเสพติดบางอย่างเสพครั้งสองครั้งก็ติดแล้ว
4. ต้องคิดใหม่ อย่าคิดแบบเก่า ๆ คือคิดว่าการเสพสารเสพติดเป็นสิ่งที่โก้เก๋ เป็นคนเก่ง
เพื่อนฝูงจะยอมรับ ควรคิดใหม่ คือต้องคิดว่าคนที่เสพเป็นคนที่เสพเป็นคนที่น่าอับอาย น่ารังเกียจเป็นคนอ่อนแอชักจูงง่าย ถ้าเพื่อนฝูงไม้รับเพราะเราไม้เสพก็ชั่งเขาไม้ต้องไปคบด้วยกับเพื่อนคนที่ชักชวน เราไปสู่ความหายนะ
5. ต้องตระหนักถึงพิษภัยเพราะสารเสพติดทุกชนิดมีพิษภัยต่อร่างกายทั้งสิ้น
6. ต้องตระหนักว่าการที่นักเรียนไปใช้สารเสพติด ถ้าพ่อแม่ ผู้ปกครองรู้จะทำให้ท่านเสียใจ
7. พยายามหลีกเลี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้สารเสพติด เช่น หลีกเลี่ยงจากเพื่อน
ที่ใช้สารเสพติด ไม่ไปเที่ยวสถานบันเทิงเริงรมย์ เป็นต้น
8. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสารเสพติดชนิดต่าง ๆ เพื่อให้รู้ถึงอันตรายและเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงและป้องกัน
9. ไม่ใช้สารเสพติดเพื่อการรักษาโรคด้วยตนเอง ยาบางชนิดมีสารเสพติดผสมอยู่ เช่น
ยาระงับปวดบางชนิด ยาแก้ไอบางชนิด
10. ควรหากิจกรรมทำอย่าให้มีเวลาว่างมาก ขณะนี้มีคำที่นิยมใช้และมีการจัดตั้งกันมากมายก็คือ “ ลานกีฬาต้านยาเสพติด ’’ ซึ่งการเล่นกีฬาจะทำให้สนุกสนาน มีเวลาว่างน้อยลง ก็จะช่วยไม่ให้คนเราหันเหไปใช้สารเสพติดได้
11. ถ้ามีปัญหาไม่พึ่งสารเสพติด ควรปรึกษาพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ญาติผู้ใหญ่
12. ถ้าพบว่ามีการจำหน่าย จ่ายแจกสารเสพติดกันในบริเวณโรงเรียนให้แจ้งครูอาจารย์
ถ้านอกโรงเรียนให้บอกผู้ปกครองให้ไปแจ้งตำรวจ แต่ต้องระมัดระวังในเรื่องความปลอดภัยด้วย เพราะถ้าผู้จำหน่ายรู้ว่าใครขัดผลประโยชน์หรือทำให้เขาเดือดร้อน
ความหมายและประเภทของความรุนแรง
ความรุนแรง หมายถึงการทำร้ายทางร่างกาย การทำร้ายทางจิตใจ การทำร้ายทางเพศ และการทอดทิ้งเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ความรุนแรงมี 4 ประเภท
1. การทำร้ายร่างกาย คือ มักเกิดจากการทุบ ตี ต่อย เตะ จับศีรษะโขกกับของแข็ง ใช้เทียนหยดลงตามตัว ขว้างปาด้วยสิ่งของ แทง ฟัน ยิง หรือทรมานร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆ
2. การทำร้ายทางจิตใจ เป็นการกระทำด้วยกิริยาวาจา ทาทาง สายตา สีหน้า จนทำให้ผู้ถูกกระทำเจ็บชำนำใจ อับอาย อาจถึงขั้นคิดสั้นได้ การกระทำดังกล่าว ได้แก่ การด่า บังคับขู่เข็ญการดูถูกเหยียดหยามการเยาะเย้ยถากถาง การข่มขู่ การไล่ออกจากบ้าน การหน่วงเหนี่ยวกักขัง ตลอดจนการรบกวนต่าง ๆ ทางจิตใจของผู้ผูกกระทำ
3. การทำรายทางเพศ ผู้ที่ถูกทำร้ายทางเพศมักได้แก่เพศหญิงและมีเด็กชายบ้างเหมือนกัน ลักษณะการทำร้ายทางเพศมีหลายรูปแบบ เช่น การถูกจับหน้าอก ถูกจับก้น ถูกจับอวัยวะเพศ การถูกฝ่ายชายเอาอวัยวะเพศมาถูไถร่างก่ายขณะอยู่ในชุมชน การถูกปลุกปล้ำ การถูกข่มขืน
โดยผู้ชายคนเดียว การถูกข่มขืนโดยผู้ชายหลายคน การถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าเพื่อถ่ายภาพ ถูกพูดจาลวนลาม ล่วงเกินทางเพศ ถูกตัดแต่งภาพโดยใช้รูปโป๊ของผู้อี่นแต่ใช้หน้าผู้เสียหายออก เผยแพร่ให้ สาธารณชนได้เห็น เป็นต้น
4. การทอดทิ้งเด็ก อาจทอดทิ้งตั้งแต่แรกเกิด จนถึงการทอดทิ้งเด็กโตซึงอายุไม่ไม่เกิน 18 ปี จนผู้ทอดทิ้งได้รับความเดือดร้อน
หรือถึงขั้นเสียชีวิต ปัจจุบันนี้เรื่องการทอดทิ้งเด็ก เด็กมีมากมายในสังคมไทยทั้งนี้เกิดจากความ ไม่รับผิดชอบของผู้ใหญ่และพวกไวรุ่นใจแตก
พฤติกรรมและสาเหตุของการใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น
พฤติกรรมและสาเหตุของการใช้ความรุนแรงในวัยรุ่น มีหลายประเภทดังนี้
1.การทะเลาะวิวาทภายในสถาบัน อาจเกิดจากบุคคล 2 คนที่ทำร้าย ชกต่อยตบตีกัน หรือเกิดจากบุคคล 2 ฝ่าย ฝ่ายละหลายๆคนหรือการรมทำร้ายกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่รุนแรง มากนักแค่เพียงเจ็บตัว แต่บางครั้งก็อาจมีการแทงกัน ยิงกัน ดังข่าวที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์ ที่นานๆ ครั้งจะพบเห็นสาเหตุเกิดจากการไม่เข้าใจกัน ความหมั่นไส้ ความหึงหวง
2.การทะเลาะวิวาทภายนอกสถาบัน มักเกิดจากนักเรียน นักศึกษากลุ่มหนึ่งซึ่งมี เพียงเล็กน้อยเกิดความคึกคะนอง อยากทำตัวโดดเด่น ( ที่ไม่ถูกต้อง ) ไม่คิดถึงจิตใจของผู้อื่น แม้กระทั่งพ่อแม่ของตนเอง ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม ซึ่งขณะนี้ภาครัฐกำลังดำเนินการแก้ไข ปัญหานี้อยู่ สาเหตุมักเกิดจากการไปหาเรื่องกัน การถูกชักชวนกันไปทะเลาะวิวาท การที่มีเพื่อนถูกบางคนที่อยู่สถาบันอื่นทำร้าย การมีนิสัยพาลเกเรไปทำร้ายผู้ที่ไม่รู้เรื่อง
3. การถูกทำร้ายทางเพศ วัยรุ่นจำนวนมากโดยเฉพาะผู้หญิงที่ถูกทำร้ายทางเพศ ผู้ที่ ทำร้ายทางเพศส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ตัว เช่น คู่รัก เพื่อน ญาติ พี่เลี้ยง เป็นต้น ซึ่งโดยมาก มักจะถูกหลอก ล่อลวง และบังคับ บางรายถูกทำร้ายทางเพศติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี กว่าที่คนอื่นหรือทางราชการจะรู้เรื่องหรือผู้ถูกทำร้ายทางเพศยอมเปิดเผยเรื่องราว
การป้องกันไม่ให้การเกิดความรุนแรง
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความรุนแรง ควรมีวิธีป้องกันดังต่อไปนี้
1. เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู อาจารย์
2. เข้าร่วมกิจกรรมสร้างเสริมความสามัคคีในกลุ่มนักเรียน เช่น กีฬาสี
3. ฝึกตนเองให้สามารถรู้จักแก้ปัญหาด้วยการใช้ความคิดด้วยเหตุผล หลีกเลี่ยงการใช้
อารมณ์ และใช้ความรุนแรง
ควรมีการรวมกลุ่มตามความสนใจและความถนัดของตนเองเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เช่น กลุ่มดนตรี
ฝึกสมาธิ
เข้าร่วมกิจกรรมกล่อมเกลาจิตใจให้มีความอ่อนโยน รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง เช่นอบรมจริยธรรม ฟังบรรยายธรรมะ
สรุป
ปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพประกอบด้วยปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมและปัจจัยเสี่ยง ด้านพฤติกรรม ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น การเกิดอุบัติเหตุ การเกิดภัยธรรมชาติ เป็นต้น ปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม เช่น การติดสารเสพติด การบริโภคอาหารและผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและถ้าคนเราสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้วจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง และมีความปลอดภัยในชีวิต