อยู่เมืองไทยมีความสุขที่สุดแล้วจริงหรือ

รูปภาพของ pornchokchai
อยู่เมืองไทยมีความสุขที่สุดแล้วจริงหรือ
  AREA แถลง ฉบับที่ 338/2566: วันพุธที่ 03 พฤษภาคม 2566


ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 


 

            คนไทยเรามักจะรู้สึกว่าเมืองไทยเราน่าอยู่ที่สุดในโลก จะให้ไปอยู่ประเทศอื่นคงไม่ไป แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีผลการศึกษาระบุว่าชาวสิงคโปร์มีคะแนนความสุขในการอยู่อาศัยในอันดับที่ 25 ในขณะที่คนไทยมีความสุขอันดับที่ 60 จาก 134 ประเทศ ชาวสิงคโปร์มีความสุขกว่าชาวไทยจริงหรือ

            ในรายงาน World Happiness Report (https://bit.ly/3mgC5kb) ซึ่งเป็นงานของนักวิจัยกลุ่มหนึ่งในนามเครือข่ายทางออกของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (sustainable Development Solutions Network) ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มระดับโลกเพื่อองค์การสหประชาชาติ (แต่รายงานนี้ไม่ได้เป็นความเห็นของสหประชาชาติโดยตรง) ระบุว่าฟินแลนด์ เดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ อิสราเอล เนเธอร์แลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบอร์กและนิวซีแลนด์ เป็น 10 ประเทศที่ประชาชนมีความสุขมากที่สุด ส่วนแซมเบีย แทนซาเนีย โคโมรอส มาลาวี บอตสวานา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เซียราลีโอน เลบานอนและอาฟกานิสถาน เป็น 10 ประเทศที่มีความสุขต่ำสุด ซึ่งก็พอเข้าใจได้

            ส่วนในภูมิภาคอาเซียน สิงคโปร์ได้ลำดับที่ 25 คะแนน 6.587 เต็ม 10 ตามด้วยมาเลเซียอันดับที่ 55 คะแนน 6.012 ส่วนไทยได้อันดับที่ 60 ได้คะแนน 5.843 ทำไมชาวสิงคโปร์มีความสุขมากกว่าคนไทย เป็นไปได้หรือ ถ้าให้คนไทยเลือก คงไม่อยากอยู่สิงคโปร์แน่นอน รู้สึกว่าไทยเราดีกว่ามากมาย น่าจะมีความสุขกว่า พื้นที่ก็กว้างใหญ่ ประชาชนก็โอบอ้อมอารี มี “ยิ้มสยาม” พาลไปคิดไกลไปว่าสงสัยว่างานวิจัยนี้ผิดหรือเปล่า

 

 

            มาดูว่ามีเหตุผลใดที่ว่าชาวสิงคโปร์มีความสุขมากกว่าไทย

            1. ชาวสิงคโปร์ 89% มีบ้านเป็นของตนเอง (https://bit.ly/2Yp6NW8) ในขณะที่ไทยมีอัตราการเป็นเจ้าของบ้านเพียง 64.3% (https://bit.ly/43kK7cg) ยิ่งในกรณีกรุงเทพมหานครที่มีขนาดเท่าสิงคโปร์สัดส่วนของผู้มีบ้านเป็นของตนเองเพียง 51.3% (https://bit.ly/3nNP90E) (จากข้อมูลสัมมโนประชากรปี 2553 – ยังไม่พบล่าสุดกว่านี้) นี่ก็อาจแสดงได้ชัดเจนว่าชาวสิงคโปร์น่าจะมีความมั่นคงในการอยู่อาศัยและมีความสุขมากกว่าคนไทยในแง่นี้

 

            2. บางท่านอาจแย้งว่าสิงคโปร์แทบไม่มีบ้านมีแต่ห้องชุดพักอาศัยซึ่งก็จริง มาตรฐานบ้านในสิงคโปร์คือห้องชุดเพราะที่ดินมีน้อย แต่เขาก็จัดสภาพแวดล้อมน่าอยู่ ที่สำคัญขนาดห้องชุดของสิงคโปร์ไม่ได้เล็กขนาดเท่า “แมวดิ้นตาย” แบบไทยที่มีขายห้องชุดขนาดเล็กๆ แค่ 22-33 ตารางเมตรเป็นหลัก ในสิงคโปร์ที่อยู่อาศัยแบบคนโสดคนเดียวจะมีขนาดไม่น้อยกว่า 36 ตารางเมตร นอกนั้นน่าจะเกินกว่า 80 ตารางเมตร มีสัดส่วนดังนี้ (https://bit.ly/2Yp6NW8):

  • ห้องชุดการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ 1-2 ห้องนอน       6.7%
  • ห้องชุดการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ 3 ห้องนอน         17.2%
  • ห้องชุดการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ 4 ห้องนอน         31.4%
  • ห้องชุดการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ 5 ห้องนอน         22.6%
  • ห้องชุดภาคเอกชนที่หรูกว่าของการเคหะฯ             17.0%
  • บ้านแนวราบ (บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว)           4.9%

 

            3. ชาวสิงคโปร์มีรายได้มากกว่าไทย รายได้ประชาชาติต่อหัวของชาวสิงคโปร์อยู่ที่ 106,000 เหรียญสหรัฐ สูงกว่าไทย 6.2 เท่า ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 17,100 เหรียญสหรัฐเท่านั้น (ข้อมูลจาก CIA World Factbook) ในขณะนี้การเป็นหนี้ของสิงคโปร์อยู่ 49.9% ของ GDP ส่วนไทยอยู่ที่ 87.5% (https://bit.ly/3KmmiZ4) ยิ่งกว่านั้นราคาบ้านเมื่อเทียบกับรายได้แล้ว ชาวสิงคโปร์ “เอื้อมถึง” บ้านได้มากกว่าชาวไทยที่กว่าจะได้มีโอกาสซื้อบ้านสักหลังยังต้องดิ้นรนกันสุดฤทธิ์ แล้วอย่างนี้คนไทยจะมีความสุขกว่าชาวสิงคโปร์ได้จริงหรือ ยิ่งกว่านั้นไทยเรายังมีการลงทะเบียนคนจนถึง 22 ล้านคน แต่ผ่าน 14 ล้านคน (https://bit.ly/3GoV1Eb) ในขณะที่สิงคโปร์ ไม่มีประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน

 

            4. ปัจจัยแห่งความสุขยังอาจรวมถึงว่าในสิงคโปร์ อัตราการก่ออาชญากรรมอยู่ที่ 29.2 ในขณะที่ไทยสูงกว่าคือ 38.2 (https://bit.ly/3MsPTT5) จึงถือว่าปลอดภัยกว่า น่าอยู่กว่า และประชาชนมีความสุขกว่า  สำหรับการทุจริตคอร์รัปชั่น สิงคโปร์ติดอันดับ 5 ในด้านความโปร่งใส (แทบ) ไร้ทุจริต ได้คะแนน 83 จาก 100  ส่วนไทยติดอันดับที่ 101 ได้คะแนนเพียง 36 จาก 100 เท่านั้น (https://bit.ly/41el2y4) ประเทศที่เต็มไปด้วยการทุจริต รวมทั้งยาบ้า บ่อนเถื่อน หวยเถื่อน ประชาชนจะมีความสุขจริงๆ ได้อย่างไร (ยกเว้นตอนเมา)

 

            คนงานไทยในสิงคโปร์บอกว่าชาวสิงคโปร์ทำงานหนัก และมักอยู่ในบ้านในวันหยุด ดูแล้วไม่น่าจะมีความสุข ในขณะที่คนงานไทยชอบมาจับกลุ่มรวมตัวกันในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ในสิงคโปร์  แต่ชาวสิงคโปร์ให้การว่าพวกเขาทำงานอย่างเต็มที่ (แบบไม่อู้) ในวันทำงาน แต่ในวันหยุดพวกเขาชอบอยู่บ้าน (ที่เป็นของตนเอง) อยู่กับครอบครัว ทำอาหารทานกันเพราะชาวสิงคโปร์ชอบทำอาหารมาก  ไม่ชอบคลุกคลีตีโมง เมาสังสรรค์ใน “วันศุกร์แห่งชาติ” แต่โดยที่เขามีเงินเหลือ เขาจึงไปเที่ยวต่างประเทศและซื้อหาความสุขทางอื่นได้

            บ้างก็อาจบอกว่าประเทศไทยของเราเป็นเมืองพุทธ ประชาชนแทบทุกคนล้วนมีศาสนา ประชาชนจึงน่าจะมีความสุขมากกว่า แต่ในสิงคโปร์ แม้มีผู้นับถือศาสนาพุทธมากที่สุดถึง 31% ของประชากร กลุ่มใหญ่อันดับสองคือกลุ่มประชากร 20% ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆ (https://bit.ly/3GR2zzV) แต่เขาก็มีความสุข ไม่ได้อยู่กันอย่าง “บ้านป่าเมืองเถื่อน” และไม่มีการมอมเมาด้วยพุทธพาณิชย์ใดๆ

            บางคนอาจบอกว่าสิงคโปร์อาจเป็น Unhappy Paradise หรือเป็นสวรรค์ที่ไม่มีความสุข อยู่กันอย่างเงียบๆ บ้านใครบ้านมัน ไม่ค่อยสุงสิงกันมาก (ยกเว้นชาวสิงคโปร์บางส่วนที่ “ซุกซน”) ในขณะที่ไทยหรือประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ อาจเป็น Happy Hell หรือนรกที่มีความสุข “ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้” ไม่ค่อยมีกฎระเบียบ เช่น เปิด ผับบาร์ได้เกินเวลา (ถ้าจ่ายใต้โต๊ะ) หรือนั่งล้อมวงกินเหล้าเมา ตีเกราะเคาะไม้ได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องเกรงใจเพื่อนบ้าน ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้ว ทำไม่ได้ ถือว่าผิดกฎหมาย มีผู้รักษากฎหมายคอยคุมอย่างเคร่งครัด แต่ในกรณีประเทศไทย ตำรวจ ซึ่งแม้แต่ตามสี่แยกก็แทบไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ไปไหนหมด

            อันที่จริง คนเราอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ถ้ามีเงิน แม้แต่ไปประเทศแสนยากจนเราก็ไปอยู่อย่างมีความสุขได้ หาซื้อความสุขด้วยเงินได้ หาซื้อความปลอดภัยได้ ยิ่งถ้าเราเป็นข้าราชการที่คดโกงได้เงินมามากมาย ก็ยิ่งมีความสุขกับการอยู่ในไทยที่มีโอกาสโกงมากมาย แต่ถ้าเราเป็นคนธรรมดา โดยเฉพาะคนจนก็คงอยู่ยาก แต่ในประเทศที่มีสวัสดิการดี คนจนก็ยังพออยู่ได้บ้าง เช่น หากดูจากจำนวนเตียงคนไข้ต่อประชากร 1,000 คน ไทยมีเตียง 2.1 เตียง แต่สิงคโปร์มีสัดส่วนที่สูงกว่าคือ 2.5 เตียง (https://bit.ly/3mkYahs)

            แล้วอย่างนี้เมืองไทยยังน่าอยู่ที่สุดในโลกไหม คนไทยอาจเคยชินกับความเหลื่อมล้ำ อิทธิพล (เถื่อน) อาชญากรรมที่มีอัตราสูงก็ได้ เราพึงช่วยกันพัฒนาให้ไทยเราน่าอยู่จริงๆ ให้ได้ในชาตินี้

 

 

 

หมายเหตุ: บทความนี้ตีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 หน้า 7

 
 
 
 
 
 


ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 170 คน กำลังออนไลน์