ที่ดินในอดีตของนายกฯ ประยุทธ์ เสียภาษีแค่ไหน. . .มาดูกัน

รูปภาพของ pornchokchai
ที่ดินในอดีตของนายกฯ ประยุทธ์ เสียภาษีแค่ไหน. . .มาดูกัน
  AREA แถลง ฉบับที่ 328/2566: วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566

 

ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส sopon@area.co.th https://www.facebook.com/dr.sopon4

 


 

            ทุกวันนี้เราเห็นที่ดินใจกลางเมืองถูกนำมาใช้เพื่อการเกษตรอย่างมีเลศนัยมากมายเพื่อการหลีกเลี่ยงภาษี ในความเป็นจริง จะแก้ปัญหานี้อย่างไร มาดูกรณีศึกษาที่ดินในอดีตของนายกฯ ประยุทธ์ ว่าเขาเสียภาษีกันมากน้อยแค่ไหน สมควรหรือไม่

            ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้นำที่ดินในอดีตของคุณพ่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ขายไปแล้ว มาเป็นกรณีตัวอย่างของความไม่เป็นธรรมในการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

            ที่ดินแปลงดังกล่าวขนาด 50 ไร่ 3 งาน 8 ตารางวา ได้ขายไปในราคา 600 ล้านบาท หรือเป็นเงินตารางวาละ  29,545 บาท หรือไร่ละ 11,818,003 บาท แต่ ดร.โสภณเคยประเมินไว้เมื่อซื้อในปี 2557 ว่าควรเป็นเงินประมาณ 550 ล้านบาท (ราคาซื้อขายจริงกับราคาประเมินตามราคาตลาดไม่แตกต่างกันมากคือเพียง 9%) อย่างไรก็ตาม ณ ปี 2566 ตามราคาประเมินใหม่ ราคาที่ดินตามราคาของกรมธนารักษ์ ยังเป็นเงินรวม  340.4 ล้านบาท หรือไร่ละเพียง 6,704,160 บาท หรือตารางวาละ 16,760 บาทเท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายเมื่อ 9 ปีก่อนเป็นอย่างมาก

 

 

            ในกรณีนี้ที่ดินแปลงดังกล่าวนี้ได้ทำการเกษตรโดยปลูกต้นไม้ ซึ่งเสียภาษี ณ อัตรา 0.01% ของราคาประเมินราชการ  หรือเป็นเงินปีละ 34,037 บาท หรือเดือนละเพียง 2,836.4 บาท หรือเท่ากับเสียภาษีตารางวาละ0.14 บาทต่อเดือน ทั้งที่ในกรณีที่ดินจัดสรรในโครงการจัดสรร อาจเสียค่าส่วนกลางประมาณ 30 บาทต่อตารางวา จึงนับว่าภาระภาษีในกรณีนี้น้อยมาก

            อย่างไรก็ตามหากที่ดินแปลงนี้ที่มีมูลค่าตามราคาประเมินราชการที่ 340.4 ล้านบาทนั้น หากเสียภาษีที่ดินวางเปล่าที่ 0.3% ก็จะเป็นเงิน 102,111 บาท เท่ากับสามารถประหยัดภาษีไปได้ถึงเกือบ 1 แสนบาท (102,111 บาท - 34,037 บาท) การนี้แสดงว่าการหลีกเลี่ยงภาษีด้วยการแสร้งทำการเกษตร ทำให้ท้องถิ่นสูญเสียรายได้เพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่นเป็นอย่างมาก  บริษัทเจ้าของที่ดินควรเสียภาษีตามจริงเพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่า และกฎหมายที่เอื่อเจ้าของที่ดินนี้ ควรได้รับการแก้ไข

            ยิ่งกว่านั้น ราคาที่ดินตามราคาตลาด ณ สิ้นปี 2565 ควรจะเป็นเงินประมาณ 800 ล้านบาท หรือ 39,393 บาทต่อตารางวา ถ้ารัฐบาลจัดเก็บภาษีตามราคาตลาด  ณ อัตรา 0.3% ก็จะเป็นเงิน 2.4 ล้านบาทต่อปี แต่รัฐบาลไม่เก็บภาษีตามราคาตลาด แต่มุ่งเก็บภาษีตามราคาประเมินราชการซึ่งถือว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อเจ้าของที่ดินโดยเฉพาะผู้ที่มีที่ดินแปลงใหญ่ๆ

            อาจมีความเป็นไปได้ที่มีชาวบ้านธรรมดาที่เป็นเกษตรกรดั้งเดิมที่บังเอิญครองที่ดิน 50 ไร่เศษ เป็นเงิน 800 ล้านบาท และหากต้องเสียภาษีนับล้านบาท อาจจะอ้างว่าตนเองไม่มีเงินเพียงพอที่จะเสียภาษี  ในกรณีเช่นนี้ ดร.โสภณ แนะนำว่าเจ้าของที่ดินควรขายที่ดินของตนเองบางส่วนหรือทั้งหมด ซึ่งจะได้เงินมหาศาล เก็บกินใช้ตลอดชาติก็ไม่หมด รัฐบาลควรให้การศึกษาแก่ประชาชนว่าการเสียภาษีเป็นหน้าที่พลเมืองที่สมควรจ่ายมากกว่าการบริจาคเงิน (เอาหน้า) เสียอีก

            ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ การที่ราคาที่ดินเพิ่มจาก 550 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 800 ล้านบาทในปี 2565 หรือ 8 ปีต่อมา หรือเฉลี่ยปีละ 4.8% นั้นนับว่าที่ดินมีมูลค่าเพิ่มขึ้นพอสมควร การที่จะต้องเสียภาษีปีละไม่ถึง 1% จึงนับว่าน้อยมาก  ยิ่งเสียภาษีมากขึ้นท้องถิ่นก็ยิ่งมีเงินเพียงพอที่จะพัฒนาสาธารณูปโภคให้ดีขึ้น ทำให้ราคาที่ดินกลับเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น การเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจึงไม่ได้เป็นภาระ แต่กลับเป็น “การลงทุน” ที่ดีของเจ้าของที่ดินเองเสียอีก

            ดร.โสภณเสนอทางออกว่ารัฐบาลควรจัดเก็บภาษีตามราคาตลาดมากกว่าราคาประเมินราชการที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงโดยไม่นำพาต่อการ (แสร้ง) ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรือไม่ ทั้งนี้ในกรณีที่ดินแปลงนี้ ราคาตลาดเป็นเงิน 800 ล้านบาทในขณะที่ราคาประเมินราชการเป็นเงินเพียง  340.4 ล้านบาท หรือเพียง 42.55% ของราคาตลาดเท่านั้น และที่ดินในแต่ละแปลง ก็ไม่ได้มีสัดส่วนของราคาประเมินราชการกับราคาตลาดที่ใกล้เคียงกันแต่ประการใด

            อัตราการจัดเก็บภาษีในเบื้องต้นควรเป็นประมาณ 0.1% ของมูลค่าตลาด เช่น ในกรณี

            - ห้องชุดราคาถูกประมาณ 500,000 บาท ก็จะเสียภาษีเพียง 500 บาทต่อปีหรือ 42 บาทต่อเดือน

            - นา 15 ไร่ๆ ละ 50,000 บาทในชนบท รวม 750,000 บาท ก็เสียภาษี 750 บาท หรือ 63 บาทต่อเดือน

            - ทาวน์เฮาส์ราคา 2 ล้านบาท ก็เสียภาษี 2,000 บาทต่อปีหรือ 167 บาทต่อเดือน (ถูกกว่าค่าจัดเก็บขยะ)

            - บ้านเดี่ยว 5 ล้านบาท ก็เสียภาษี 5,000 บาทต่อปี หรือ 417 บาทต่อเดือน (ถูกกว่าค่าส่วนกลางมาก)

            - อย่างไรก็ตามเศรษฐีที่มีที่ดินราคา 1,000 ล้านบาท ก็อาจต้องเสียภาษี 1 ล้านบาทต่อปี พวกนี้อาจไม่ต้องการเสียภาษี และเห็นว่าเงิน 1 ล้านบาทที่ต้องเสียนั้น อาจนำไปใช้เพื่อความสุขสบายส่วนตัว หรือเจียดส่วนหนึ่งมาบริจาค (เอาหน้า) ยังสบายใจกว่าโดยไม่คำนึงถึงหน้าที่ของตนเองในฐานะพลเมืองดี

            การจัดเก็บภาษี ณ อัตราเดียวตามราคาตลาดที่แท้จริง จึงเป็นทางออกที่ ดร.โสภณ เสนอไว้ในที่สุด

 

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ในฐานเศรษฐกิจ วันที่ 20-22 เมษายน 2566

https://www.thansettakij.com/real-estate/562794

 

 
 
 
 
 
 


ผู้แถลง:
ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@area.co.th) ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th): ซึ่งเป็นองค์กรที่มีฐานข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ภาคสนามขนาดใหญ่ที่สุดและปรับปรุงให้ทันสมัยที่สุดในประเทศไทย และดำเนินการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ.2537 เป็นศูนย์ข้อมูลที่มีความเป็นกลางทางวิชาการ และเป็นอิสระทางวิชาชีพ โดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ สมาชิกของศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับข้อมูลที่เป็น First-hand information ในเวลาเดียวกัน

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 327 คน กำลังออนไลน์