• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:53967d29ff196da9c20a693481aa9549' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"http://tbn0.google.com/images?q=tbn:b39w6C9ZcU9AgM:http://www.jujai.com/news/1207817354/b_1207817354.jpg\" style=\"width: 116px; height: 76px\" border=\"0\" width=\"120\" height=\"90\" /><img src=\"http://tbn0.google.com/images?q=tbn:UpG15m6U75pneM:http://www.raklukefamilygroup\" border=\"0\" width=\"1\" height=\"1\" /> <img src=\"http://tbn0.google.com/images?q=tbn:UpG15m6U75pneM:http://www.raklukefamilygroup\" style=\"width: 77px; height: 101px\" border=\"0\" width=\"99\" height=\"137\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<div align=\"left\">\nเมื่อมีอาการผิวแดงไหม้เกรียมและมีอาการแสบร้อนทุกครั้งที่ออกแดดพึงระลึกไว้เลยว่าท่านถูกพิษของแสงแดดเล่นงานเข้าแล้วและหากยังขืนปล่อยไว้เช่นนี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตได้ เพราะแสงแดดที่ส่องผ่านมายังพื้นผิวโลกประกอบด้วยแสงหลากหลายชนิดด้วยกัน ทั้งแสงที่มองเห็นด้วยตาเปล่า รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต รังสีอินฟาเร็ด ฯลฯ และแสงที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังมากที่สุดคือ รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต หรือที่เราเรียกว่า UV ซึ่งจะทำให้ผิวแดงไหม้ คล้ำแห้งกร้าน เหี่ยวย่น เป็นฯฝ้า ตกกระ แก่ก่อนวัยและอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งของผิวหนังได้ในระยะยาว<span style=\"font-size: xx-small; font-family: MS Sans Serif\">รังสี UV ที่ส่องผ่านมายังโลกของเราและเป็นอันตราต่อผิวมนุษย์สามารถแยกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ</span>\n</div>\n<div align=\"left\">\n<p>\n<b>1. รังสี UV - A</b> เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว ทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำมากขึ้น ผิวจะแดง แต่น้อยกว่า UV -B เพราะรังสีจะผ่านทะลุเข้าไปทั้งชั้นหนังกำพร้า และชั้นหนังแท้ซึ่งทำอันตรายต่อโครงสร้างและเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นรวมทั้งช่วยเสริมฤทธิ์ของ UV -Bทำให้เกิดเป็นอันตรายต่อผิวหนังมากขึ้น\n</p>\n<div align=\"left\">\n<b>2. รังสี UV -B</b>เป็นรังสีช่วงคลื่นสั้นกว่า จะผ่านทะลุชั้นหนังกำพร้า และหนังแท้ชั้นบนเท่านั้น ทำให้เกิด SUNBURN ซึ่งมีอาการผิวบวมแดงและอาจพองปวดแสบร้อน ผิวไหม้และแห้ง กร้านคล้ำซึ่งเมื่อผิวถูกแดดเผาเป็นประจำจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้\n</div>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"left\">\n<b>สำหรับวิธีป้องกัน</b>สามารถทำได้โดยการหลีกเลื่ยงการตากแดดในช่วงเวลาที่มีรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตมากๆ คือเวลาประมาณ 10.00-15.00 น.หากจำเป็นต้องตากแดดก็ควรปกปิดผิวพรรณด้วยการใส่เสื้อแขนยาว คอปิด กางร่ม หรือใส่หมวกปีกกว้าง\n</p>\n<div align=\"left\">\nสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่งก็คือ การทาครีมกันแดดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอเพราะแม้จะอยู่ใต้ร่มไม้หรือชายคาบ้านก็ยังมีโอกาสได้รับรังสี UV เหมือนกับเวลาที่อยู่กลางแดด เพราะพื้นทราย พื้นน้ำ พื้นคอนกรีต สามารถสะท้อนรังสี UV เข้าสู่ผิวกายได้ หรือแม้กระทั้งในวันที่มีเมฆหมอกหนาก็ยังคงต้องทาครีมกันแดดเพราะเมฆหมอกไม่สามารถป้องกันรังสี UV ได้\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<div align=\"left\">\nทั้งนี้การเลือกใช้หรือเลือกซื้อครีมกันแดดก็ควรเลือกชนิดที่เหมาะกับผิวและมีประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างแท้จริง โดยครีมแดดที่มีวางขายตามท้องตลาดประกอบด้วยสารกันแดด 2 ชนิด คือ\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"left\">\n<b>1. Chemical sunscreen</b> คือสารกันแดดที่สามารถดูดซึมรังสี UV โดยแบ่งเป็นสารที่ดูดซึมเฉพาะ UV -B ได้แก่ PABA และ cinnamate ส่วน ben-zophenone ดูดซึมได้ทั้ง UV - B และ UV - A บางส่วน และ dibenzoylmethane ดูดซึมได้เฉพาะ UV - A เท่านั้น สารกันแดดในกลุ่มนี้ทาแล้วไม่มีสี แต่มีข้อเสียงคืออาจจะเกิดอาการแพ้และระคายเคืองต่อผิวหนังได้\n</p>\n<div align=\"left\">\n<b>2. Physical sunscreen</b> คือสารกันแดดที่สามารถสะท้อนและกระจายทั้ง UV - A และ UV - B ได้แก่ tetanium dioxide, zinc oxide สารเหล่านี้จะไม่เกิดอาการแพ้แต่ทาแล้วอาจทำให้หน้าขาวทึบไม่สวยงาม แต่ปัจจุบันนี้มีตัวยา microfined titanium dioxide ซึ่งทาแล้วหน้าไม่ขาวมาก และไม่เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง นอกจากความสำคัญของสารประกอบที่มีอยู่ในครีมกันแดดแล้ว ความสามารถในการดูดซึมและกันน้ำก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่กับการเลือกซื้อทุกครั้ง\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"left\">\n<b>SPF หรือ sun protection factor</b> คือ ความสามารถของครีมกันแดดที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการแดงไหม้หลังจากตากแดดโดยจะแสดงเป็นตัวเลข เช่น หากคนๆหนึ่งตากแดด 30 นาที แล้วผิวแดงไหม้แสบ แต่ถ้าทาครีมกันแดดที่มี <b>SPF 8</b> หมายความว่าคนๆนั้น สามารถตากแดดได้นานเป็น 8 เท่า คือประมาณ 4 ชั่วโมง โดยไม่มีอาการแดงไหม้\n</p>\n<div align=\"left\">\n<b>สำหรับผิวชาวเอเชียหรือคนไทย</b> ครีมกันแดดที่เลือกใช้ควรมีค่า <b>SPF=15 </b>ก็เพียงพอแล้วสำหรับที่จะใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งถูกแดดไม่มากและควรใช้อย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าไปเที่ยวชายทะเลหรือเล่นกีฬากลางแจ้งก็ต้องใช้ SPFที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่ว่ายน้ำควรเลือกครีมกันแดดที่กันน้ำได้และควรทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงสำหรับเด็กๆที่เรียนว่ายน้ำหรือวิ่งเล่นตามชายหาดก็ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน เพราะรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจะมีผลเสียต่อผิวหนังแบบสะสม ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดตั้งแต่เด็กจะป้องกันผลเสียจากแสงแดดได้ดีกว่าตอนเป็นผู้ใหญ่\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n</div>\n</div>\n</div>\n</div>\n</div>\n</div>\n', created = 1726572602, expire = 1726659002, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:53967d29ff196da9c20a693481aa9549' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

การป้องกันพิษภัยจากแสงแดด

รูปภาพของ supatkul
เมื่อมีอาการผิวแดงไหม้เกรียมและมีอาการแสบร้อนทุกครั้งที่ออกแดดพึงระลึกไว้เลยว่าท่านถูกพิษของแสงแดดเล่นงานเข้าแล้วและหากยังขืนปล่อยไว้เช่นนี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตได้ เพราะแสงแดดที่ส่องผ่านมายังพื้นผิวโลกประกอบด้วยแสงหลากหลายชนิดด้วยกัน ทั้งแสงที่มองเห็นด้วยตาเปล่า รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต รังสีอินฟาเร็ด ฯลฯ และแสงที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังมากที่สุดคือ รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต หรือที่เราเรียกว่า UV ซึ่งจะทำให้ผิวแดงไหม้ คล้ำแห้งกร้าน เหี่ยวย่น เป็นฯฝ้า ตกกระ แก่ก่อนวัยและอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งของผิวหนังได้ในระยะยาวรังสี UV ที่ส่องผ่านมายังโลกของเราและเป็นอันตราต่อผิวมนุษย์สามารถแยกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ

1. รังสี UV - A เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว ทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำมากขึ้น ผิวจะแดง แต่น้อยกว่า UV -B เพราะรังสีจะผ่านทะลุเข้าไปทั้งชั้นหนังกำพร้า และชั้นหนังแท้ซึ่งทำอันตรายต่อโครงสร้างและเซลล์ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นรวมทั้งช่วยเสริมฤทธิ์ของ UV -Bทำให้เกิดเป็นอันตรายต่อผิวหนังมากขึ้น

2. รังสี UV -Bเป็นรังสีช่วงคลื่นสั้นกว่า จะผ่านทะลุชั้นหนังกำพร้า และหนังแท้ชั้นบนเท่านั้น ทำให้เกิด SUNBURN ซึ่งมีอาการผิวบวมแดงและอาจพองปวดแสบร้อน ผิวไหม้และแห้ง กร้านคล้ำซึ่งเมื่อผิวถูกแดดเผาเป็นประจำจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

 

สำหรับวิธีป้องกันสามารถทำได้โดยการหลีกเลื่ยงการตากแดดในช่วงเวลาที่มีรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตมากๆ คือเวลาประมาณ 10.00-15.00 น.หากจำเป็นต้องตากแดดก็ควรปกปิดผิวพรรณด้วยการใส่เสื้อแขนยาว คอปิด กางร่ม หรือใส่หมวกปีกกว้าง

สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่งก็คือ การทาครีมกันแดดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอเพราะแม้จะอยู่ใต้ร่มไม้หรือชายคาบ้านก็ยังมีโอกาสได้รับรังสี UV เหมือนกับเวลาที่อยู่กลางแดด เพราะพื้นทราย พื้นน้ำ พื้นคอนกรีต สามารถสะท้อนรังสี UV เข้าสู่ผิวกายได้ หรือแม้กระทั้งในวันที่มีเมฆหมอกหนาก็ยังคงต้องทาครีมกันแดดเพราะเมฆหมอกไม่สามารถป้องกันรังสี UV ได้

 

ทั้งนี้การเลือกใช้หรือเลือกซื้อครีมกันแดดก็ควรเลือกชนิดที่เหมาะกับผิวและมีประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างแท้จริง โดยครีมแดดที่มีวางขายตามท้องตลาดประกอบด้วยสารกันแดด 2 ชนิด คือ

 

1. Chemical sunscreen คือสารกันแดดที่สามารถดูดซึมรังสี UV โดยแบ่งเป็นสารที่ดูดซึมเฉพาะ UV -B ได้แก่ PABA และ cinnamate ส่วน ben-zophenone ดูดซึมได้ทั้ง UV - B และ UV - A บางส่วน และ dibenzoylmethane ดูดซึมได้เฉพาะ UV - A เท่านั้น สารกันแดดในกลุ่มนี้ทาแล้วไม่มีสี แต่มีข้อเสียงคืออาจจะเกิดอาการแพ้และระคายเคืองต่อผิวหนังได้

2. Physical sunscreen คือสารกันแดดที่สามารถสะท้อนและกระจายทั้ง UV - A และ UV - B ได้แก่ tetanium dioxide, zinc oxide สารเหล่านี้จะไม่เกิดอาการแพ้แต่ทาแล้วอาจทำให้หน้าขาวทึบไม่สวยงาม แต่ปัจจุบันนี้มีตัวยา microfined titanium dioxide ซึ่งทาแล้วหน้าไม่ขาวมาก และไม่เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง นอกจากความสำคัญของสารประกอบที่มีอยู่ในครีมกันแดดแล้ว ความสามารถในการดูดซึมและกันน้ำก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่กับการเลือกซื้อทุกครั้ง

 

SPF หรือ sun protection factor คือ ความสามารถของครีมกันแดดที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการแดงไหม้หลังจากตากแดดโดยจะแสดงเป็นตัวเลข เช่น หากคนๆหนึ่งตากแดด 30 นาที แล้วผิวแดงไหม้แสบ แต่ถ้าทาครีมกันแดดที่มี SPF 8 หมายความว่าคนๆนั้น สามารถตากแดดได้นานเป็น 8 เท่า คือประมาณ 4 ชั่วโมง โดยไม่มีอาการแดงไหม้

สำหรับผิวชาวเอเชียหรือคนไทย ครีมกันแดดที่เลือกใช้ควรมีค่า SPF=15 ก็เพียงพอแล้วสำหรับที่จะใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งถูกแดดไม่มากและควรใช้อย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าไปเที่ยวชายทะเลหรือเล่นกีฬากลางแจ้งก็ต้องใช้ SPFที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่ว่ายน้ำควรเลือกครีมกันแดดที่กันน้ำได้และควรทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงสำหรับเด็กๆที่เรียนว่ายน้ำหรือวิ่งเล่นตามชายหาดก็ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน เพราะรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจะมีผลเสียต่อผิวหนังแบบสะสม ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดตั้งแต่เด็กจะป้องกันผลเสียจากแสงแดดได้ดีกว่าตอนเป็นผู้ใหญ่

 

สร้างโดย: 
สุพัฒน์กุล ภัคโชค

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 423 คน กำลังออนไลน์