เรื่อง ประวัติศาสตร์สมัยกรุงธนบุรี
เมื่อไทยเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า
ในวันอังคาร เดือน 5 (ราวเดือนเมษายน) ขึ้น 9 ค่ำในปี พ.ศ. 2310 หลังจากที่พม่าล้อมกรุง อยู่นายถึง
1 ปี 2 เดือน สภาพของบ้านเมืองอยู่ในสภาพที่น่าสลดใจเป็นอย่างมาก บ้านเมือง
วัดวาอาราม ถูกเผาทำลายเกือบหมดสิ้น แม้แต่พระพุทธรูป คือพระศรีสรรเพชญดาญาณ
พม่าก็เผาเพื่อเอาทองคำ นำกลับไปเมืองพม่า เจ้านายและขุนนางจำนวนมาก
ถูกจับเป็นเชลยไปยังกรุง อังวะ ส่วนสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์
มหาดเล็กพาหลบหนีออกจากพระราชวัง ทรงอดพระกระยาหารอยู่ 10 วัน ก็สิ้นพระชนม์
เนเรียวสีหบดี แม่ทัพพม่ามอบหมายให้สุกี้เป็นแม่ทัพคุมพบประมาณ 3,000
คน ตั้งอยู่ที่ค่ายโพธิ์สามต้น และให้นายทองอินซึ่งเป็นคนไทยอยู่ฝ่ายพม่า
ตั้งค่ายที่บริเวณเมืองธนบุรี แผ่นดินไทย มิได้ถูกพม่ายึดครองทุกเมือง
เพียงแต่เก็บกวาดทรัพย์สินแต่ละเมืองเท่านั้น ผู้ที่เป็นเจ้าเมืองใหญ่ก็ถือโอกาสตั้งตัวเป็นอิสระแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า
เป็นชุมนุม ที่สำคัญ 5 ชุมนุมดังนี้คือ
- ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) เป็นชุมนุมที่ใหญ่ที่สุด มีอาณาเขตตั้งแต่
เมืองพิชัย - เมืองนครสวรรค์
- ชุมนุมเจ้าพระฝาง (เรือน) มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองแพร่ - น่าน
- หลวงพระบาง มีความสามารถทางคาถาอาคม จึงตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ในสมณเพศ
- ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช
(หนู) มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองชุมพร - หัวเมืองมลายู
- ชุมนุมเจ้าพิมาย (กรมหมื่นเทพพิพิธ) เป็นโอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
มีอาณาเขตตั้งแต่เมือง สระบุรี - พิมาย - แดนล้านช้างกัมพูชา
- ชุมนุมพระยาตาก (สิน) หรือพระยาวชิรปราการ เป็นชุมนุมที่เล็กที่สุดแต่เข้มแข็งที่สุด
ตั้งมั่นอยู่ที่จันทบุรี หัวเมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา
|