|
นครเปตรา
ในจอร์แดนเป็นเมืองที่เจาะสลักเข้าไปในหินเกือบทั้งหมด
รอบบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น วิหาร หลุมศพ บันได
โรงละคร ซึ่งขุดสลัก มาแต่ยอดเขาลงมาเป็นหลืบลดหลั่นเป็นช่อชั้นงดงาม แสดงถึงฝีมือและ ศิลปะในการสลักหินได้อย่างยอดเยี่ยม สีของหินก็กลมกลืนกันดี
ตัวตึกสี เลือดนก สีกุหลาบและสีม่วงเป็นลำดับ ถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม
เบื้องต้นของ เขตตะวันออกกลางที่เรียกว่านาบาทีนส์ |
|
คนแถบนี้เป็นพวกเร่รอน
อาชีพเลี้ยงแกะอยู่ไม่เป็นที่ เป็นพวกชอบทำธุรกิจค้าขายเครื่องเทศจาก ตะวันออก
ไปยังเขตเมดิเตอร์เรเนียน จากนั้นก็ขนส่งลงเรือไปสู่ยุโรป ในช่วงเวลาที่มีการ
ค้าขายอย่าง กว้างขวางกับอาณาจักรต่าง ๆ สืบมาจนถึงปัจจุบันได้ใช้เส้นทาง
ในเขตซีเรียสู่ซาอุดีอารเบียโดยอาศัยกองคาราวานขนส่ง ได้สร้างความร่ำรวย
และอำนาจราชศักดิ์ จนได้กลายมาเป็นนครเปตราขึ้น จากพวกอีโดไมท์ ซึ่งถือ
เป็นเมืองหลวงในราว 300 ปี
ก่อนคริสต์กาล |
|
ในคริสต์ศตวรรษที่2 พวกนาบาทีนส์ต้องพ่ายแก่เผ่าพวกโรมัน
จำเป็นต้องเข้ารวมกับอาณาจักรโรมันแต่ความสำคัญด้านการค้าของนครเปตรา
ยังอยู่ต่อไปโดยมีชาวโรมันคอยหนุนหลัง ถนนโรมันถูกสร้าง ขึ้นจากซีเรียไปยังทะเลแดง
โดยฝีมือของชาวเมืองทรอยตามอย่างถนนโรมัน ศิลปะนี้เป็นที่ยอมรับกัน ทั่วไป
พวกศริสเตียนได้นำมาดัดแปลงสร้างเป็นสถานนมัสการพระเจ้า
สิ่งก่อสร้างสำคัญชิ้นหนึ่งในนครเปตราคือมหาวิหารกวาซร์
ฟีราโอน ซึ่งสร้างสมัยพระเจ้าอาเรตัสที่4 มหาราชของชาวนาบาทีนส์
ซึ่งครองราชย์ระหว่าง 9 ปีก่อน ค.ศ. จนถึง ค.ศ. 40
|
การบูรณปฏิสังขรณ์นครเปตรากำลังดำเนินอยู่อย่างมาก
ในปัจจุบัน นครแห่งนี้ถูกค้นพบในรูป ปรักหักพังมาตั้งแต่ ค.ศ. 1812 นับเป็นนครที่
ดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้ไปชมปีละมากมาย
ความนิยมดังกล่าวช่วยยกฐานะให้นครเปตรากลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ โปราณสิ่งหนึ่งในโลก
สำเนียง มณีกาญจน์ และ สมบัติ จำปาเงิน.ท่องไปในโลกกว้างนำชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลก.
กรุงเทพฯ
: โอเดียนสโตร์,2530
|